posttoday

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า "ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต" ช้ำใจถูกคนทำร้าย

04 สิงหาคม 2560

"ฐิตินาถ ณ พัทลุง" ฝ่ากระแสดราม่า เปิดใจครั้งแรกกับ "โพสต์ทูเดย์" ทุกประเด็นไล่ตั้งแต่ เงินค่าไถ่ 11 ล้าน คอร์สอบรมราคาแพง ตลาดหุ้นและวิธีการสอนที่ถูกตั้งข้อสงสัย

โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด

ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต เจ้าของคอร์สอบรมการให้กำลังใจคลายปมชีวิตและผู้เขียนหนังสือระดับ Best Seller ถูกโจมตีอย่างหนักตลอดช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อดารานักแสดงจำนวนหนึ่งออกมาขอให้เธอลบภาพและเลิกนำชื่อของพวกเขาไปโปรโมท ลุกลามบานปลายไปถึงการตั้งข้อสังเกตในวิธีการสอน ราคาคอร์สอบรม และขยายวงกว้างไปจนถึงเรื่องการเล่นหุ้น

หลังดราม่าฝุ่นตลบ วันนี้ที่เพนท์เฮาส์สุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ครูอ้อย  ฐิตินาถ พร้อมแล้วที่จะชี้แจงและคลายความสงสัยในหลากหลายประเด็น ...

ค่าไถ่ 11 ล้าน ตำรวจเรียกผู้ต้องหาแล้ว

ครูอ้อยเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นเป็นดำเนินไปในลักษณะเป็นขบวนการ เริ่มจากข้อความข่มขู่และเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 11 ล้านบาท พร้อมกับสั่งให้เลิกกิจกรรมการกุศลและธุรกิจจัดคอร์สอบรมทั้งหมด

“เว็บไซต์ที่ข่มขู่บอกว่าได้แต่งเรื่องครูอ้อยไว้และพร้อมจะแฉผ่านสื่อทุกช่องทาง ข้อความเหล่านั้นมีทั้งหมิ่นประมาทและเป็นเท็จ ขู่ว่าครูอ้อยไม่มีทางเคลียร์ข่าวเหล่านี้ได้จบแถมยังบอกด้วยว่า เขาฝีมือระดับมหาวิทยาลัยส่วนเราระบบอนุบาล ไม่มีทางสู้ได้” ครูอ้อยกล่างถึงจดหมายข่มขู่ที่เห็นว่าเป็นต้นเรื่องของปัญหาครั้งนี้ 

เธอ เล่าว่า รู้สึกกลัวกับข้อความดังกล่าว ไม่ตอบตกลงหรือปฏิเสธและได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแม้ในจดหมายจะขู่เอาไว้ว่าห้ามแจ้งตำรวจมิฉะนั้นจะเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างขึ้นทันที

“กลัวมาก ไม่รู้ตอบเขายังไงและไปแจ้งความทั้งๆ ที่เขาขู่ไว้ว่าทันทีที่เราไปแจ้งความ จะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปลงในสื่อต่างๆ ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นจริงๆ ข้อมูลเท็จที่ทุกคนเห็นในโซเชียล ครูอ้อยได้เห็นหมดแล้วในจดหมายเรียกค่าไถ่ตั้งแต่แรก”ผู้เขียนหลังสือเข็มทิศชีวิตกล่าวและเชื่อว่าในช่วงเวลานั้น วิธีการนำเสนอข่าวของสื่อบางแห่งไม่ปกติ เป็นรูปแบบที่ต้องการให้เกิดผลกระทบในแง่ลบ เช่น นำเสนอข่าวของตนถึง 9 เรื่องภายในวันเดียว

ภายหลังแจ้งความดำเนินคดี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบ่อทอง จ.ชลบุรี ได้ออกหมายเรียก 3 ผู้ต้องหา เพื่อเข้ารับทราบ 3 ข้อหา คือ 1. ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ 2. หมิ่นประมาท เเละ 3.  นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการออกหมายเรียกครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยสองในสามนั้นเป็นคุณครูสอนการแสดงชื่อดังและหนุ่มนักลงทุนหุ้นที่เคยเข้าอบรมในคอร์สเรียนของครูอ้อย

“ตำรวจไปสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ ตามร่องรอยจนพยานหลักฐานแน่นหนาและสามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหาได้ 3 คน” ครูอ้อยกล่าว

สำหรับสาเหตุที่ผู้ต้องหากระทำกับเธอนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเกรงกระทบกับรูปคดี อย่างไรก็ตามเธอคาดการณ์ให้ฟังเล็กน้อยว่า เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์และอาจรวมถึงความไม่พอใจบางอย่างซึ่งไม่แน่ชัด

“เราพูด ทำอย่างตรงไปตรงมา อาจจะมีคนไม่ชอบ ไม่ได้ดั่งใจเขา บางคนอาจอยากเป็นครูสอนแทนเรา นึกเสียใจว่าทำไมถึงทำได้โหดเหี้ยมขนาดนั้น ช้ำใจแต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ต่างๆ ในโลก มีความรักตัวเองสูง บางคนเคยบอกว่ารักเรามาก วันหนึ่งอาจมีเรื่องกระเทือนอัตตาจนเขาสามารถพลิกทำอะไรกับเราได้อย่างที่เราคิดไม่ถึง” ครูอ้อยยกตัวอย่าง

 

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า "ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต" ช้ำใจถูกคนทำร้าย

 

อย่าบิดเบือนค่าเรียน – สอนฟรี 26 วันต่อเดือน

ค่าคอร์สอบรมของครูอ้อยนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูว่าแพงหูฉี่?

นักพูดชื่อดัง ชี้แจงว่า ทุกอย่างที่โจมตีนั้นเป็นเรื่องบิดเบือนและวิพากษ์วิจารณ์บนข้อมูลที่เป็นเท็จ การทำงานส่วนใหญ่นั้นเป็นการกุศลและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นคอร์สอบรมสัมมนานักธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่การตลาด การวางแผนธุรกิจ การบริหารจัดการความสัมพันธ์ เป็นต้น

“หนึ่งเดือนสามสิบวัน ยี่สิบหกวันเราทำงานฟรี เป็นการกุศลทั้งหมด บทเรียนทางไกล ห้องเรียนภาวนา สมาธิ ฟรีหมด มีคนเอาไปบิดเบือดว่าเราเก็บเงิน ซี่งในความจริงเดือนหนึ่งมีคอร์สอบรมที่เราเก็บเงินเพียงแค่ 4 วัน”

ครูอ้อยบอกว่า หลักสูตรนั่งสมาธินั้นฟรีเสมอ แต่ผู้ไม่หวังดีถูกบิดเบือนว่าต้องจ่ายสูงถึง 25,000 บาทต่อคอร์สหรือคิดเป็นชั่วโมงละ 1,500 บาท ส่งผลให้ผู้คนเกิดความขัดแย้งในสังคม

“โห..ถ้าเกิดในไทยคนยอมจ่ายค่านั่งสมาธิแพงมากขนาดนั้น ประเทศเราต้องเจริญไปถึงขีดสุดมากๆ รักธรรมะขนาดนั้น ธรรมะฟรีทุกหนทุกแห่ง ไปที่ไหนก็ต้องฟรี” 

เธอย้ำว่า 4 วันที่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นคอร์สอบรมสัมมนานักธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติพบได้ทั่วโลก บางแห่งคิดราคาสูงถึงหลักแสน ขณะที่ของครูอ้อยนั้นคำนวณแล้วอยู่ที่ชั่วโมงละ 1,500 บาท เทียบได้กับค่าเรียนโยคะเท่านั้น

 

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า "ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต" ช้ำใจถูกคนทำร้าย

 

ภาพมีลิขสิทธิ์ทุกคนต้องเซ็นสัญญา-เล่นหุ้นไม่เก่ง

ประเด็นของการนำภาพคนดังมาโปรโมทคอร์สอบรม ครูอ้อยบอกว่า ลิขสิทธิ์ภาพและเสียงในห้องเรียนทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของห้องเรียนเข็มทิศ โดยมีเอกสารให้ทุกคนเซ็นชื่อ การเผยแพร่ภาพคนมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้หวังผลกับกลุ่มธุรกิจที่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องการนำเสนอและเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนต่างจังหวัดที่เรียนฟรีผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากในแต่ละสัปดาห์

“ในทางกฎหมาย เรามีจดหมายให้เซ็นสัญญา ไม่ว่าใครก็ต้องเซ็น ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดปัญหา แต่เราป้องกันตัวเองหมด อีกอย่างก่อนที่ใครจะเข้ามาเรียน ทุกคนจะรับรู้อยู่แล้วว่ารูปตัวเองจะถูกเผยแพร่เป็นบทเรียนฟรีให้กับประชาชนคนยากจน โดยพฤตินัยคุณรู้อยู่แล้วว่า รูปของคุณจะต้องถูกเผยแพร่ คุณก็เซ็นและมาเรียน แถมรูปของคุณถูกเผยแพร่มาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว”

ผู้เชี่ยวชาญการสอนด้านจิตใต้สำนึกบอกว่า ถึงแม้จะเซ็นสัญญาแต่หากมีผู้ไม่สบายใจ ไม่ต้องการให้เผยแพร่สามารถติดต่อขอให้นำภาพออกได้

“ทำไมไม่คุยกันดีๆ เรายินดีอยู่แล้ว เพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร”

ทั้งนี้เธอตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุใดการร้องขอให้ลบรูปออกจากการโปรโมทนั้นถึงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับจดหมายเรียกค่าไถ่เงิน 11 ล้านบาท

ประเด็นเรื่องเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการตลาดหุ้น ชักนำลูกศิษย์ไปลงทุนจนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ครูอ้อยบอกว่า เป็นความเข้าใจผิด แท้จริงไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเก่งกาจในวงการหุ้น รวมถึงยังเกรงอกเกรงใจเพื่อนพี่น้องและลูกศิษย์จนขาดทุนหรือทำกำไรได้ไม่มากเท่าที่ควร

เธอ เล่าว่า เมื่อครั้งเล่นหุ้นครั้งแรก ราคาหุ้นพุ่งขึ้นและบวกถึง 200 ล้านบาท จนมีคนนำชื่อไปโจมตีในเว็บไซต์พันทิปว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อราคาจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง มีผู้แห่ซื้อตามจำนวนมาก กระทั่งวันหนึ่งราคาหุ้นร่วงแต่ตนยังไม่กล้าขายทำกำไร เนื่องจากเกรงว่าจะถูกมองในแง่ลบ

“สุดท้ายตอนมันย่ำแย่ ราคาเหลือบาทกว่า เราก็ต้องถือยันไว้ ทั้งที่ขายยังได้กำไรหลายล้าน แต่ด้วยความแมนและถือว่าความสัมพันธ์สำคัญกว่าเงิน เราไม่ขาย ขายไปทุกคนก็ร่วงไปอีก ไม่รู้จะมองหน้าคนอื่นยังไง ยังบอกเลยว่า เอ้า...ใครขายทันขายนะ เรื่องนี้ตรวจสอบได้ความเคลื่อนไหวในตลาดได้ เราเจ๊งหุ้นตัวนี้เยอะสุด”

ครูอ้อยยืนยันว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาถูกโจมตีเรื่องหุ้นเยอะมาก ทั้งที่ไม่เคยทำกำไรในจุดสูงสุดหรือจุดที่ควรได้ โดยยกตัวอย่างว่า หุ้นบางตัวนั้นมีโอกาสสร้างกำไรถึง 300 ล้านบาท แต่ทุกวันนี้เหลือเพียง 15-20 ล้านเท่านั้น

“โดนคนด่าเรื่องนี้เยอะมากและคนเชื่อในคำกล่าวหา แต่ถือว่าเราแมนๆ เราไม่พูด ไม่ตอบโต้ จริงๆ อยากได้เงินเหมือนที่เขาบอกเหมือนกัน โดนด่าแล้วได้เงินแบบนั้นก็ยังดี”

ขณะที่ชายหนุ่มนักลงทุนหุ้นที่ออกมาแฉว่า ครูอ้อยเคยชักชวนให้ไปพูดในคราสอบรมและให้ร่วมลงทุนจนขาดทุนมหาศาลนั้น เธอชี้แจงว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นเซียนหุ้นและอาจารย์สอนตนและลูกศิษย์ให้เล่นหุ้นต่างหาก ซึ่งตนไม่เคยหลอกลวงหรือบอกว่าจะรับผิดชอบภาระขาดทุนของหุ้นตัวใดเหมือนที่ถูกกล่าวหา

“เขาเป็นเซียนหุ้น เราเชิญมาเป็นอาจารย์สอนเรา เราก็เชื่อเขา ลูกศิษย์เราก็เชื่อ ไม่ใช่เขามาเชื่อเรา”ครูอ้อยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า "ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต" ช้ำใจถูกคนทำร้าย

คอร์สปลุกพลังเพื่อความสำเร็จ ไม่ใช่สะกดจิต 

 

“ครูอ้อย” ฐิตินาถ บอกว่า จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างปฎิบัติธรรมกับสัมมนาปลุกพลังงานความคิด ซึ่งเป็นการเรียนรู้และเป็นแนวทางที่ต่างประเทศให้การยอมรับและพัฒนากันอย่างกว้างขวาง มีคอร์สอบรมต่างๆ มากมาย รวมถึงสื่อสารผ่านหนังสือจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องการสะกดจิตหมู่แต่อย่างใด ที่สำคัญใครก็สามารถเรียนฟรีได้ทุกที่ผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ได้บังคับว่าต้องมาถึงห้องเรียน

“เป็นเรื่องธรรมดากับการสอนให้คนลุกขึ้นมามีกำลังใจ มีแรง ก้าวข้ามสิ่งต่างๆ  สิ่งที่เราบอกได้เลยก็คือ ครูอ้อยสอนเก่งและพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เราทำให้คนประสบความสำเร็จได้จริงๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิด มันคือวิถีแห่งใจ มนุษย์มีสิทธิที่จะพลิกจิตตัวเองอยู่แล้ว แต่ครูอ้อยสร้างบรรยากาศให้คนพลิกจิตใจตัวเอง”

สภาพความเป็นอยู่อันหรูหราที่ถูกบางคนวิจารณ์นั้น ผู้หญิงรายนี้บอกว่า ความร่ำรวยโดยสุจริตไม่ใช่ความผิด เป็นไปตามความตั้งใจและต้องการทำให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ว่าใครก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหากไปสอนคนจนด้วยสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองที่อัตคัดขาดแคลนคงไม่มีใครฟัง

“ทำงานคลุกคลีกับคนจนเป็นหนี้มา 20 กว่าปี ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าเขารวยได้ ทำธุรกิจได้ เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลและโอกาสได้อย่างไร สิ่งที่ทำมาตลอดคือบอกว่า เฮ้ย...ครูเคยได้เป็นหนี้ 100 ล้านนะ ถ้าวันนี้ครูผ่านมันมาได้ ประสบความสำเร็จได้ คุณก็ทำได้”

อีกประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ เนื้อหาในหนังสือที่มีผู้พบว่า บางส่วนคล้ายกับหนังสือ “7 Habits of highly effective people” หรือชื่อไทยว่า “7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง” ของ “สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2532 หรือก่อนหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2547 ถึง 15 ปี 

ครูอ้อยชี้แจงว่า ตารางในหนังสือนั้น ตอนแรกไม่มีการกล่าวอ้างอิงถึงที่มาของเนื้อหา เนื่องจากขณะนั้นยังไม่สามารถเช็คที่มาได้ รับรู้มาจากคำบอกเล่าของพระท่านหนึ่งและไม่ได้อ้างว่าตนเองเป็นคนคิดและเขียนขึ้นมา ที่สำคัญปัจจุบันรับรู้แล้วว่าต้นเรื่องนั้นไม่ได้มาจาก “7 Habits of highly effective people” แต่แท้จริงแล้วมาจาก ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ส่วนชื่อหนังสือเข็มทิศชีวิตนั้น คิดเองจากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งพบกับหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งชื่อ  “แผนที่ชีวิต เข็มทิศหัวใจ” ผู้แต่ง เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย

“เวลาเราจะบอกว่าเราคิดได้ยังไง เราต้องบอกที่มาและแรงบันดาลใจได้”  

ดราม่าครั้งนี้ ในแง่ธุรกิจบริษัทเข็มทิศชีวิตได้รับผลกระทบอย่างหนักและมีการประเมินว่าสูญเงินไปกว่าร้อยล้านบาท ขณะที่ในแง่สังคมได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในระดับหนึ่งระหว่างผู้เห็นด้วยและเห็นต่าง

“ปกตินักเรียนที่ชอบครูอ้อยจะแชร์คลิปและแนวคิดต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่กล้าแชร์เพราะกลัวคนที่รับข่าวด้านลบซึ่งเป็นคนรอบข้างจะมาบอกว่า เฮ้ย อย่าไปชอบคนนี้นะ คนที่ไม่ชอบเรามาย่ำยีคนที่มาเรียนด้วยการเขียนว่า คนที่มาเรียนโง่ ถูกหลอก ไปตราหน้าเขาว่าเป็นพวกโง่ที่เข้ามาพัฒนาชีวิต”ครูอ้อย เข็มทิศชีวิตบอกทิ้งท้าย

**************************** 

ชมคลิป www.facebook.com/newsclearvdo/videos/vb.251435155296969/334208010353016 

 

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี