‘เจ้าพระยา’ แม่น้ำแหล่งรับปัญหาเรื้อรัง
“แม่น้ำ เจ้าพระยา แควไหลมา รวมกันสี่สาย ปิง วัง ยม น่าน หลั่งไหล รวมสี่สาย ที่ปากน้ำโพ” เพลงนี้เป็นเพลงที่เด็กๆ
โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน
“แม่น้ำ เจ้าพระยา แควไหลมา รวมกันสี่สาย ปิง วัง ยม น่าน หลั่งไหล รวมสี่สาย ที่ปากน้ำโพ” เพลงนี้เป็นเพลงที่เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างคุ้นเคยกันดี เนื้อร้องสั้นๆ ที่ร้องวนซ้ำนี้บอกที่มาของแม่น้ำสายสำคัญที่คนกรุงเทพมหานคร (กทม.) คุ้นเคยกันดี
แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่าน นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กทม. และสมุทรปราการ จุดที่ไหลผ่าน นครสวรรค์เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ในลุ่มน้ำมากที่สุด รองลงมา คือ กทม. พื้นที่ประมาณ พื้นที่ลุ่มน้ำทั้งหมดรวมกันถึง 10,270 ตารางกิโลเมตร
ตามที่เพลงได้บอกไปแล้วว่า แม่น้ำสายนี้มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำใหญ่ 4 สาย ปิงกับวังไหลรวมกันที่ จ.ตาก ไหลผ่าน จ.กำแพงเพชร ยมกับน่านไหลรวมกันที่ จ.นครสวรรค์ ลงไปรวมแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำสายนี้ยังระบุด้วยว่า นอกจาก 4 สายแล้วยังมีแม่น้ำอีก 2 สายไหลมาสมทบในภาคกลาง นั่น คือ แม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำป่าสัก
หากล่องเรือจากจุดที่ถูกปักหมุดเริ่มเรียกว่า เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ที่ปากน้ำโพ ไปถึงจุดที่แม่น้ำสายนี้ไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทยที่ จ.สมุทรปราการ จะพบว่าเส้นทางนี้มีความยาวถึงประมาณ 379 กิโลเมตรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี หลายทศวรรษที่ผ่านมาดูเหมือนข้อมูลและข่าวคราวด้านสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของแม่น้ำเส้นนี้ยังคงอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเรื้อรังที่ละลายอยู่ในแม่น้ำสายนี้ก็คือ เรื่องของมลพิษ
เว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ เผยแพร่สถานการณ์คุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2549 โดยระบุว่า ตั้งแต่ตอนบนและตอนกลาง ช่วงตั้งแต่จุดเริ่มต้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่นครสวรรค์ ลากมา
ถึงป้อมเพชร พระนครศรีอยุธยา มาจรดศาลากลางจังหวัดนนทบุรี (หลังเก่า) มีคุณภาพในระดับพอใช้ ขณะที่ตอนล่าง จากเมืองนนทบุรีลากไปถึงจุดไหลลงสู่อ่าวไทย คุณภาพน้ำยิ่งน่าเป็นห่วง จนถูกจัดให้
อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม ซึ่งเป็นปัญหาที่มาจากน้ำเสียจากการระบายน้ำทิ้ง จากชุมชนและตลาดริมน้ำ จากการระบายน้ำทิ้งจากฟาร์มปศุสัตว์ จากโรงงานอุตสาหกรรม
น้ำเสียรวมทั้งหมด (ย้ำว่าเป็นค่าที่จัดทำเมื่อปี 2549 ) ประมาณ 4.8 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน คิดเป็นปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ซึ่งหมายถึง ปริมาณของออกซิเจนที่แบคทีเรียใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในเวลา 5 วัน ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ทั้งสิ้น 369,421 กิโลกรัม/วัน และได้ระบุด้วยว่า มาจากชุมชน 71% โรงงานอุตสาหกรรม 18% การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 8% และฟาร์มสุกร 3%
แน่นอนว่า 11 ปี ที่ผ่านมา ชุมชนที่อยู่อาศัยภาคอุตสาหกรรมนั้นขยายตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง เมื่อไม่นานมานี้ สำนักผังเมือง กทม. รายงานคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ว่า ค่าบีโอดียังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในอนาคต
ผลพวงจากสิ่งที่เกิดจากสภาพของแม่น้ำเจ้าพระยานั้นกระทบกับสารพัดสิ่งมีชีวิตที่แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำสายนี้ ผลพวงที่เห็นเป็นรูปธรรมนอกเหนือจากค่าตัวเลขคุณภาพน้ำเรื่องหนึ่ง ก็คือการระบาดของผักตบชวา
ผักตบชวานั้นแพร่ระบาดมากสุดบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน เนื่องจากมลพิษทางเกษตรกรรม ชุมชน และอุตสาหกรรม ทำให้น้ำมีธาตุอาหารพืชสูง พืชชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยเมล็ด 1 ต้น สามารถให้เมล็ดได้ถึง 5,000 เมล็ด และหากเมล็ดหลุดไปอยู่ในแหล่งน้ำจะสามารถอยู่ได้นานถึง 15 ปี เป็นวัชพืชที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยการแตกหน่อ ผักตบชวา 2 ต้น สามารถแตกใบและเติบโตเป็นต้นได้ 30 ต้นภายใน 20 วัน และจะเพิ่มน้ำหนักได้ 1 เท่าตัวภายใน 10 วัน มีอัตราขยายตัวปกคลุมผิวน้ำได้ 8% ต่อวัน หากเริ่มปล่อยลงแหล่งน้ำ 10 ต้น จะแพร่จำนวนเป็น 1 ล้านต้นภายใน 1 ปี เฉพาะแม่น้ำท่าจีนมีผักตบชวาไหลลงสู่อ่าวไทยวันละประมาณ 2,000 ตัน
ในอดีต น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาสามารถใช้ในการอุปโภคบริโภคได้ ผู้ประกอบอาชีพทำเกษตร ประมงและเลี้ยงปลาริมแม่น้ำ ยังจดจำช่วงเวลาที่สามารถอาบและว่ายน้ำในแม่น้ำได้ดี ปัจจุบัน หลายพื้นที่ได้อำลาวิถีชีวิตเช่นนั้นไปอย่างถาวร เจ้าพระยาหลายจุดเปลี่ยนสภาพไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ถูกใช้แค่เป็นเส้นทางสัญจรและเป็นแหล่งระบายน้ำเสียเท่านั้น แม่น้ำสายสำคัญที่ทอดยาวเส้นนี้จะกลายเป็นอดีตอันขมขื่นที่ส่งผ่านความล้มเหลวในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไปยังอ่าวไทย หรือมีกับอนาคตที่ยั่งยืน เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาถกเถียงวางมาตรการฟื้นฟูอย่างจริงจังเสียที


