คำมั่น ‘บิ๊กตู่’ เลือกตั้ง’61 คลายล็อกแรงกดดัน
ถามว่ารัฐบาลจะอยู่ยาวถึง 10 ปีอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้ถึง 10 ปีก็เก่งแล้ว ในเมื่อกลไกมันคือการเลือกตั้ง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันสักที การเลือกตั้งนั้นต้องเกิดขึ้นในปี 2561 ชัดเจนกันหรือยัง ไม่ต้องมาถามอย่างอื่นอีก”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
“ถามว่ารัฐบาลจะอยู่ยาวถึง 10 ปีอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้ถึง 10 ปีก็เก่งแล้ว ในเมื่อกลไกมันคือการเลือกตั้ง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันสักที การเลือกตั้งนั้นต้องเกิดขึ้นในปี 2561 ชัดเจนกันหรือยัง ไม่ต้องมาถามอย่างอื่นอีก”
ชัดจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ถือเป็น “คำมั่น” ที่ประกาศต่อหน้าสาธารณะ ยืนยันว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามโรดแมปสู่เป้าหมายการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าไม่มีบิดพลิ้ว
แม้จะเป็นการตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณี เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาระบุว่า รัฐบาลทหารจะอยู่บริหารยาวประเทศถึง 10 ปี แต่ก็สามารถช่วยคลี่คลายความสงสัยให้หลายฝ่ายที่คิดต่างกัน ท่ามกลางข้อกังขาจากสังคมเรื่องการยื้ออยู่ในอำนาจของ คสช.
การย้ำเป้าเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2561 จึงเป็นการช่วยลดแรงกดดันที่รุมเร้า คสช.เวลานี้
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดข้อกังขาว่า คสช.มีทีท่าจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากกรอบโรดแมปเดิม ด้วยการหยิบยกเหตุผลต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาชี้แจงหลายหน
แต่ก่อนหน้านี้ คำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะพูดแค่ทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามโรดแมป หรือมีบางครั้งที่ออก “เปิดช่อง” ด้วยการระบุว่าหากยังมีเหตุการณ์ความวุ่นวาย ความไม่สงบ อาจไม่มีการเลือกตั้ง
จนครั้งนี้ที่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นในปี 2561
ไม่แปลกที่สังคมจะรู้สึกไม่แน่นอนกับเส้นทางตามโรดแมป เมื่อมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาแทรกจน อาจทำให้กลไกที่กำหนดไว้ชัดเจนตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วอาจไม่สามารถเดินหน้าไปตามนั้น
ล่าสุดกับคำถาม 4 ข้อ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถามว่า 1.การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2.หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
3.การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศและเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
และ 4.ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร
จนถูกตีความว่าเป็นการ “โยนหิน” วัดกระแสสังคมว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักประกันว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจะสามารถคัดกรอง “น้ำดี” เข้าสู่ถนนการเมือง
นำมาสู่การตบเท้าออกมา “ดักคอ” จากหลายฝ่ายทั้งภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคการเมือง ที่เป็นห่วงว่าการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อทั้งประเทศและ คสช.เอง
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปส่วนหนึ่งนั้นอาจเป็นการตอกย้ำ “ความล้มเหลว” ของสิ่งที่แม่น้ำ 5 สายพยายามทำมาทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจนไม่อาจนำไปสู่การ “ปฏิรูป” สร้างกลไกตรวจสอบถ่วงดุลจนถึงเรื่องการคัดกรองบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในภาคส่วนต่างๆ
ทำให้ไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างเดินต่อไปตามกลไกที่วางไว้ ด้วยเกรงว่าสุดท้ายทุกอย่างย่อมเดินหน้าไปสู่วังวนความขัดแย้งและปัญหาเดิมๆ อย่างไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรเดิมไปได้
คู่ขนานไปกับท่าทีการเคลื่อนไหวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส. ที่ออกมาเห็นด้วยกับการตั้ง 4 คำถาม เพื่อปลุกให้ประชาชนออกมาร่วมกันคิดอ่านว่า ทำอย่างไรจะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ช่วยคัดกรองคนดีเข้าสู่สนามการเมือง
พร้อมตบท้ายว่า หากบ้านเมืองยังไม่สงบ มีเหตุการณ์ความวุ่นวายรุนแรงเกิดขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ก็ยังไม่ควรจะมีการเลือกตั้ง เพราะในฐานะอดีตรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าสถานการณ์เช่นนั้นย่อมจะทำให้รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานลำบาก
จิ๊กซอว์อีกตัวที่ทำให้แนวคิดเลื่อนการเลือกตั้งดูชัดเจนมากขึ้น คือ การที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติปรับแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดเรื่อง “ไพรมารีโหวต” ที่เข้มข้นขึ้นกว่าร่างของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
ถึงขั้นที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ต้องออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่อง ไพรมารีโหวต ที่ สนช.ปรับแก้อาจมีผลกระทบต่อพรรคการเมือง และอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง
สถานการณ์ที่ผ่านมาจึงยิ่งชวนให้เชื่อว่ามีความพยายามเลื่อนการเลือกตั้งให้เกิดขึ้น และแน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล คสช.ซึ่งกำลังเผชิญกับมรสุมรุมเร้าจนซวนเซอย่างหนัก
ทั้งเรื่องการบริหารที่ยังถูกตั้งคำถาม ไล่มาตั้งแต่เรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ การใช้มาตรา 44 เข้าไปเคลียร์ปัญหาเรื่องรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เรื่อยไปจนถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ
การอยู่ในตำแหน่งของรัฐบาล คสช.นานกว่ากำหนดที่วางไว้เดิม จึงไม่มีผลดี และเป็นเป้าใหญ่ให้ถูกโจมตี
การออกมายืนยันกรอบเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 จึงอาจเป็นหนึ่งในขั้นตอนการปลดล็อกคลายแรงกดดันที่กำลังถาโถม คสช.ยิ่งในเวลานี้ที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานรอบด้านและรุนแรง