คนดีต้องไม่กลัว "จัดการทรัพย์สินวัด" พศ.ลุย "ล้างทุจริตผ้าเหลือง"
"เราถือว่าทรัพย์สินในวัดไม่ใช่ของพระ แต่เป็นของแผ่นดินและของวัด ถ้าตรวจสอบควบคุม มีบัญชี มีการเปิดเผย เงินเหล่านั้นก็ยังใช้ดูแลศาสนกิจได้เหมือนเดิม"
โดย...เอกชัย จั่นทอง
ในห้วงระยะเวลา 3 เดือนเศษที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้สะสางปัญหาในแวดวงสงฆ์สารพัด แต่เรื่องร้อนแรงขณะนี้คือแนวคิดการออกกฎหมายให้วัดทั่วประเทศกว่า 4 หมื่นแห่ง แสดงบัญชีทรัพย์สิน สอดรับกับผลสำรวจของนิด้าโพลชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องการให้วัดเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน นั่นอาจทำให้พระสงฆ์บางกลุ่มเกิดความไม่สบายใจที่รัฐบาลพยายามเข้ามาจัดระเบียบในเรื่องนี้
พ.ต.ท.พงศ์พร ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือชื่อคุ้นหู พศ. ได้ฉายภาพถึงความจำเป็นและเหตุผลเพื่อออกกฎหมายให้วัดทั่วประเทศแสดงบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดว่า ขอให้ย้อนดูปัญหาที่ผ่านมา อย่างกรณีมีข้าราชการและพระสงฆ์ทุจริตเงินอุดหนุนวัด 40-60 ล้านบาท จนตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เข้าจับกุมตรวจค้นเช่นเดียวกับเหตุการณ์ฆ่าสามเณรปลื้มแล้วโบกปูนฝั่งภายในวัด จ.นครศรีธรรมราช หรือพระนอกรีตมั่วสุมกินเหล้า เสพยา มั่วสีกา ทั้งหมดสร้างความเสียหายจำนวนมาก และนั่นคือสิ่งบอกเหตุของปัญหาในวงการสงฆ์
จึงควรถึงเวลาแล้วที่ต้องควบคุมวัดใน 3 ประเด็น คือ 1.มีการทำบัญชีทรัพย์สินวัด 2.ตรวจสอบควบคุมรายงานทรัพย์สินวัด และ 3.การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัด แต่ที่ผ่านมาถูกต่อต้านมาตลอด โดยเฉพาะประเด็นให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน นั่นคือสิ่งบ่งบอกถึงความร้อนแรงเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้
"เราถือว่าทรัพย์สินในวัดไม่ใช่ของพระ แต่เป็นของแผ่นดินและของวัด ถ้าตรวจสอบควบคุม มีบัญชี มีการเปิดเผย เงินเหล่านั้นก็ยังใช้ดูแลศาสนกิจได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะใช้ในทางผิดกฎหมายไม่ได้ เนื่องจากทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคของประชาชนและเงินของหลวงที่โอนเข้าสนับสนุนการบริหารวัด"
พ.ต.ท.พงศ์พร สำทับว่ากว่า 2,000 ปี พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีพระวินัยหรือวินัยสงฆ์จนกว่าพระจะทำผิด แต่ในวันนี้มีเรื่องราวกันมาขนาดนี้แล้ว ก็สมควรมีกฎหมายเรื่องการจัดการทรัพย์สินวัดแล้วหรือยัง เพราะถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงความเสียหายจะเกิดมากยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีพระสงฆ์บางกลุ่มแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการเข้ามาจัดระเบียบเรื่องทรัพย์สินวัด ทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการจัดการกันเองดีอยู่แล้ว ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ สวนคำตอบว่า ถ้าจัดการกันดีแล้วทำไมถึงมีเหตุการณ์ฆ่าสามเณรปลื้มและการทุจริตเงินอุดหนุน การทุจริตเงินวัดแล้วเงินทอนเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าพระไม่ร่วมด้วย
กระนั้นหากมีระบบว่าเงินเข้าวัดแล้วต้องทำอย่างไร เมื่อถอนเงินออกต้องมีการควบคุมในการถอนอย่างไร มาตรการเหล่านี้จะเป็นหลักประกันสำคัญทำให้การทุจริตพวกนี้หมดไป
"หากมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัดแล้ว พระสงฆ์และฆราวาสที่ไม่ได้คิดทุจริตจะเดือดร้อนอะไร ทรัพย์สินของวัดก็ยังเป็นของวัดเช่นเดิม ไม่ใช่ว่าเข้ามาตรวจสอบแล้วใช้ไม่ได้จะไปเดือดร้อนทำไม การทำทุจริตมันดีหรือ ถ้าไม่ได้คิดทุจริตก็อย่าไปกลัว" พ.ต.ท.พงศ์พร ย้ำ
ส่วนแนวคิดการตรวจสอบทรัพย์สินของพระนั้น พ.ต.ท.พงศ์พร อธิบายว่า ก็ต้องว่ากันไปตามรายกรณี ถ้าไม่มีการทำผิดวินัยทาง พศ.ก็จะไม่เข้าไปจัดการ เนื่องจากเชื่อว่าพระย่อมประพฤติดีประพฤติชอบ ส่วนความจำเป็นที่ต้องการให้เปิดบัญชีทรัพย์สินระดับเจ้าอาวาสขึ้นไป หรือพระชั้นผู้ใหญ่ ตรงส่วนนี้ยอมรับว่ายังไม่มีการศึกษาอย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อให้สังคมช่วยควบคุมดูแล โดยจากนี้การดำเนินการทุกอย่างในวัดจะมีหลักฐานชัดเจนว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง อาจเป็นเงินหลวง หรือเงินบริจาค ต้องมีการทำรายละเอียดอย่างชัดเจน เพื่อสะดวกในการตรวจสอบจะทำให้เห็นเส้นทางการเงินว่าใช้จ่ายอย่างไร หากยังมีการทุจริตอยู่อีกก็ยังมีองค์กรภายนอกเข้ามาตรวจสอบจัดการ เพราะระบบข้าราชการมีความแข็งแกร่งและทุกการกระทำจะมีร่องรอย
พ.ต.ท.พงศ์พร วาดหวังวันข้างหน้าว่า ต่อไปในอนาคตต้องมีการทำระบบเงินอุดหนุนวัดให้เกิดความรัดกุมมากขึ้น โดยทำควบคู่ไปกับการเปิดโปงข้อมูลวัดเพื่อให้สังคมรับรู้ช่วยตรวจสอบป้องกันทุจริต ยืนยันไม่ใช่เป็นการ "เขียนเสือให้วัวกลัว" ถ้าหากพบว่ามีการทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้น กฎหมายการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัดมีความจำเป็น และขอยืนยันว่าตั้งใจอยากให้มีกฎหมายนี้ออกมา เนื่องจากเป็นเพียงกระบิเดียวเท่านั้นที่จะเป็นการบังคับใช้ ส่วนอื่นยังคงเป็นไปตามระบบที่พระท่านเดินอยู่แล้ว แค่เป็นเรื่องเงินที่มีปัญหาในขณะนี้เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เป็นเรื่องดีไม่ใช่สิ่งที่ผิด
พ.ต.ท.พงศ์พร แจกแจงประเด็นร้อนนี้อีกว่า วิธีการดำเนินการลักษณะนี้จะปรามผู้คิดทำผิด เมื่อการดำเนินการทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอยประชาชนจะเกิดความศรัทธา ฉะนั้นเราจะพยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น แม้ต้องใช้เวลานานก็ตาม จากนี้จะใช้กฎหมายอาญาที่ถือว่าแรงที่สุดเข้ามาจัดการผู้ทุจริตทุกกลุ่มด้วย
"ไม่มีใบสั่งจากรัฐบาลให้เข้ามาปฏิรูปวงการพระสงฆ์แน่นอน มีแต่คำสั่งว่า ทำให้พุทธศาสนาได้รับการคุ้มครองอุปถัมภ์อย่างดีที่สุด" พ.ต.ท.พงศ์พร ให้คำตอบ
ในเมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เข้าไปปัดกวาดสิ่งสกปรกตามวัดทั่วประเทศแล้ว ทาง พ.ต.ท.พงศ์พร เองได้ยอมรับว่า เราก็ต้องปัดกวาดบ้าน (พศ.) ของตัวเองเช่นกัน สิ่งใดไม่ดีหรือประชาชนสงสัยเคลือบแคลง ทาง พศ.ยินดีเปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบทุกอย่าง เพราะในเมื่อต้องการให้แต่ละวัดเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัด ทาง พศ.ก็พร้อมปัดกวาดเช็ดถูบ้านตัวเองให้สะอาด ถ้าข้าราชการคนใดยังคิดทุจริตสร้างปัญหาก็ต้องระวังตัว วันข้างหน้าถ้าคิดจะทำผิดกฎแห่งกรรมมันมีจริง ท้ายสุดแล้วเราต้องซักฟอกตัวเราก่อน
พ.ต.ท.พงศ์พร มองภาพอนาคตว่าจะดึงภาคประชาชนเข้ามาช่วยสอดส่องปัญหาในวงการสงฆ์ ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ยอมรับว่าส่วนใหญ่ข้าราชการใน พศ.เป็นคนดีและมีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนามาก
ทิศทางการทำงานของ พศ.จากนี้ต้องหยิบยกเรื่องที่มีปัญหามาแก้ไขก่อนตามลำดับความสำคัญ จากนั้นค่อยวางระบบในระยะยาวป้องกันปัญหาต่างๆ ในอนาคต และกรณีเรื่องการทุจริตของอดีตข้าราชการได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว
"ต่อไปต้องหามาตรการป้องกันตักเตือนไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทาง พศ.จะดำเนินการตรวจย้อนหลังผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยมี สตง.เข้ามาดำเนินการช่วยตรวจสอบ มีตำรวจ ปปป.ร่วมด้วยเช่นกัน และทาง พศ.ยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างในการเปิดโปงผู้กระทำผิดต่อจากนี้"
ท้ายสุด พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวให้แง่คิดเตือนใจว่า สถาบันหลักของชาติที่เป็นอุดมการณ์หลักตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ถ้าจะต้องเสื่อมไปอาจกระทบถึงความมั่นคงและความอยู่รอดของชาติ ประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ จึงอยากฝากให้พระสงฆ์ และประชาชนช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนา ของเราไว้ เนื่องจากเป็นสถาบันหลักของคนไทยทุกคน


