posttoday

70 ปี "แพทย์จุฬาฯ’" สู่ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร

07 มิถุนายน 2560

"จะมุ่งมั่นทำให้คณะแพทย์ จุฬาฯ เป็นต้นแบบทางการแพทย์ แก่หน่วยงานอื่นเพื่อนำไปเป็นแนวปฏิบัติใช้ในยุคที่โลกต้องพัฒนา"

โดย...วิรวินท์ ศรีโหมด 

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นสององค์กรทางการแพทย์ที่มีความสำคัญต่อประเทศมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งสถาบันผลิตบุคลากรการแพทย์ที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นแหล่งผลิตผลงานวิจัยที่มีประโยชน์ต่อประเทศจำนวนมาก และยังเป็นหน่วยงานที่คอยดูแลรักษาผู้ป่วยปีละหลายล้านคน

ภายใต้การบริหารของ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้ที่เติบโตมาจากรั้วสถาบันคุณภาพแห่งนี้จากเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ ฉายภาพอนาคตของสองสถาบันการแพทย์ที่สำคัญแห่งนี้ว่า ในปี 2560 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะมีอายุครบรอบ 70 ปี ในวันที่ 11 มิ.ย. หลังจากก่อตั้งมาในปี 2490 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศ ต่อจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำประโยชน์เพื่อสังคมมาอย่างมากมาย ตั้งแต่พัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงบุกเบิกเรื่องการพัฒนาแพทย์ชนบทให้เข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ ตลอดจนคิดค้นงานวิจัยที่มีประโยชน์อีกมาก

“ช่วงที่ผ่านมาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ยังคงเดินตามหลักการที่เป็นสถาบันต้นแบบทางการแพทย์ที่มีคุณธรรมด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากลให้เป็นไปตาม 3 เป้าหมายหลัก คือ 1.สร้างคน เน้นการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมเหมาะสมกับสังคมไทย 2.สร้างนวัตกรรมงานวิจัยมาพัฒนาวงการแพทย์ ให้มีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น และ 3.สร้างมาตรฐานด้านการรักษาพยาบาลให้เป็นเลิศ มุ่งดูแลผู้ป่วยทุกระดับของประเทศ”

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ระบุว่า บทบาทของคณะฯ แบ่งออกเป็น 3 หลักใหญ่ คือ 1.ด้านการเรียนการสอน 2.การค้นคว้าวิจัย และ 3.การบริการทางการแพทย์ โดยการเรียนการสอนขณะนี้มองว่า ต้องทำให้ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญทั้งในเนื้อหาวิชาและทักษะในการสื่อสารระดับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อต้องก้าวสู่เวทีนานาชาติ แต่อีกด้านก็ไม่ทิ้งขนบธรรมเนียมความเป็นไทย โดยเฉพาะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมแก่ผู้เรียน

ส่วนการปรับปรุงรูปแบบการสอนให้ทันเทคโนโลยียุคศตวรรษที่ 21 ได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของคณะฯ คือ มีศูนย์ฝึกผ่าตัด และศูนย์แห่งนี้ยังได้คิดค้นองค์ความรู้ใหม่ซึ่งถือว่าเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชีย ที่สามารถคิดค้นทำให้อาจารย์ใหญ่มีรูปร่างสมบูรณ์เสมือนคนปกติ

70 ปี "แพทย์จุฬาฯ’" สู่ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร

ขณะที่การพัฒนางานบริการเพื่อแก้ปัญหาความหนาแน่นของผู้ป่วยที่มาใช้บริการ ขณะนี้กำลังเร่งก่อสร้างอาคารบริการทางการแพทย์หลังใหม่ขึ้นมาชื่อ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ เป็นอาคารรักษาพยาบาลที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 10 ของโลก ภายในอาคารหลังดังกล่าวเมื่อสร้างเสร็จจะช่วยแบ่งเบาปัญหางานด้านการให้บริการได้มาก เพราะสามารถรองรับผู้ป่วยในได้ถึง 1,300 เตียง จากทั้งหมด 1,400 เตียงที่มีอยู่ปัจจุบัน 

สำหรับการรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ขณะนี้โรงพยาบาลจุฬาฯ มีอาคาร ส.ธ. ซึ่งอาคารหลังนี้เป็นต้นแบบศูนย์ความเชี่ยวชาญรองรับประชากรผู้สูงอายุ โดยจะตั้งแผนกค้นคว้าวิจัยแนวทางการดูแลผู้สูงอายุในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ศูนย์ต้นแบบการดูแลผู้สูงอายุที่สามารถคัดกรองหาโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคในผู้สูงอายุ เพื่อจะได้ทราบและหาทางแนะนำป้องกัน เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน

นอกจากนั้น จะมีการส่งเสริมเรื่องการดูแลผู้สูงอายุภายในครอบครัว โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุแก่สมาชิกในครอบครัว และทางโรงพยาบาลจะคอยติดตามดูแลควบคู่กันไป เพื่อทำให้ผู้สูงอายุไม่ต้องมาโรงพยาบาลเป็นประจำ แต่สามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ มองว่า เมื่อผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ปัญหาอีกอย่างคือมักจะมีโรคอื่นตามมา โดยเฉพาะโรคมะเร็ง จึงมีแผนพัฒนาศูนย์มะเร็งขึ้นมา เบื้องต้นขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยโรคมะเร็งระดับโลกอย่าง MD Anderson ในการส่งแพทย์ไปฝึกอบรมและคาดว่าอนาคตโรงพยาบาลจุฬาฯ จะมีศูนย์ดูแลเฉพาะโรคมะเร็งและศูนย์ดูแลสุขภาพอื่นๆ

อีกด้าน แผนบริหารจัดการคนป่วยไม่ให้หนาแน่นจนเกินไป จะมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลเครือข่ายเพื่อประสานรับช่วงส่งต่อหรือหมุนเวียนการดูแลผู้ป่วยที่อาการยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพื่อจะได้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลจุฬาฯ หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะคิดว่าการเข้ามารักษาในโรงเรียนแพทย์ ควรเป็นผู้ป่วยที่มีอาการหนักและเป็นโรคที่ซับซ้อน ทั้งนี้หากทำได้เชื่อว่าจะทำให้การบริหารทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างเหมาะสมเต็มที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ย้ำว่า ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้วางเป้าหมายให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล โดยเน้น 3 แนวทาง คือ สร้างบัณฑิตที่จบออกไปให้มีพหุศักยภาพ พร้อมกับพัฒนาแพทย์ทั่วไปให้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรองรับการพัฒนาของโลก และสร้างนวัตกรรมให้ได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต แต่ทั้งหมดจะต้องทำควบคู่ไปกับทำให้บุคลากรของสถาบันเป็นผู้มีคุณธรรม มีความรู้ทางภาษาที่ดีเพื่อมุ่งสู่ความเป็นนานาชาติในอนาคต เพราะเชื่อว่าด้วยพื้นที่ตั้งของจุฬาฯ น่าจะได้เปรียบต่อการเป็นศูนย์กลางสุขภาพทางการแพทย์ครบวงจรของประเทศไทยในอนาคต

สำหรับสถานการณ์ที่สังคมมองว่าอนาคตบุคลากรการแพทย์จะมีจำนวนมากถึงขั้นอาจล้นตลาดนั้น ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ฉายภาพว่า การทำงานของบุคลากรการแพทย์ไทยในปัจจุบันทำงานหนักมาก เพราะคนหนึ่งต้องทำหลายหน้าที่ ตั้งแต่สอนหนังสือ คิดค้นงานวิจัย ทำงานบริการ

ทั้งนี้ หากเทียบกับแพทย์ในต่างประเทศ ระบบการทำงานของแพทย์จะถูกแบ่งหน้าที่แต่ละบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ เรื่องนี้จุฬาฯ กำลังพยายามจัดการระบบให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำตามความถนัดของตนเอง เพราะคิดว่าหากทำให้บุคลากรทำงานกับสิ่งที่ไม่ถนัดจะยิ่งเป็นการฝืนความรู้สึกของบุคลากร

“หมอบางคนแทบไม่ได้นอน เพราะต้องทำงานหนักมาก บางครั้งนอกจากต้องทำงานในเวลาเมื่อถูกตามให้มาผ่าตัดกลางดึก ก็ต้องออกมา เช้าก็กลับไปทำงานต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เหนื่อยมาก และเกิดเป็นปัญหาขึ้นอย่างในปัจจุบัน”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอนาคตบุคลากรการแพทย์อาจมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมือง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกระทรวงสาธารณสุข ต้องทำให้แพทย์อยากกระจายตัวออกไปพื้นที่ต่างจังหวัด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้รู้สึกว่าพร้อมและมีความสุขที่จะออกไป ดังนั้นควรส่งเสริมเรื่องแพทย์ครอบครัวให้ได้รับการยอมรับจากสังคม โดยเริ่มจากทำหลักสูตรให้ดี เพราะขณะนี้ความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแพทย์เฉพาะทางมากกว่าจากนั้นควรทำให้แพทย์มีความก้าวหน้าทางอาชีพ ถึงแม้เงินจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวอยู่ได้ ดังนั้นเรื่องค่าตอบแทนของแพทย์ไม่ควรทำให้เหลื่อมล้ำกันมากจนเกินไป

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จะมุ่งมั่นทำให้คณะแพทย์ จุฬาฯ เป็นต้นแบบทางการแพทย์แก่หน่วยงานอื่นเพื่อนำไปเป็นแนวปฏิบัติใช้ในยุคที่โลกต้องพัฒนา

70 ปี "แพทย์จุฬาฯ’" สู่ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร

  

ข่าวล่าสุด

Awakening Bangkok 2025 กลับมาแล้ว! ปลุกรักทั่วพระนครด้วยธีม “LOVEVERCITY”