posttoday

คดีใส่ความตี๋เหรินเจี๋ย-จะพิสูจน์ความจริงได้ ต้องไม่รีบตายเสียก่อน

04 มิถุนายน 2560

สำหรับนักสืบผู้มีอัจฉริยะด้านการแก้ไขคดีปริศนา ถ้าอังกฤษมีเชอร์ล็อก โฮล์มส์ จีนก็มีตี๋เหรินเจี๋ย

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

สำหรับนักสืบผู้มีอัจฉริยะด้านการแก้ไขคดีปริศนา ถ้าอังกฤษมีเชอร์ล็อก โฮล์มส์ จีนก็มีตี๋เหรินเจี๋ย

ในแง่หนึ่งแล้วความอัจฉริยะในการคลี่คลายคดีของตี๋เหรินเจี๋ย อาจจะพูดได้ว่าน่าจะมีเค้าความจริง เพราะจารึกอย่างเป็นทางการของประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังระบุไว้ว่า ในปีที่ตี๋เหรินเจี๋ยดำรงตำแหน่ง ต้าหลี่ซื่อเฉิง (&>2823;&>9702;&>3546;&<9998; - เทียบเท่าตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด) เคยตัดสินคดีถึง 1.7 หมื่นคดี ภายในระยะเวลา 1 ปี หมายความว่าต้องชำระคดีเฉลี่ยวันละ 46.5 คดี

ที่สำคัญทุกคดีไม่มีใครคัดค้านการตัดสินว่าไม่เป็นธรรม

น่าเสียดาย รายละเอียดของคดีที่เขาชำระถูกบันทึกไว้เพียงแค่คดีเดียว นั่นคือคดีที่มีขุนนางพลาดไปตัดต้นไม้ในสุสานอดีตฮ่องเต้ถังไท่จง ฮ่องเต้ถังเกาจงซึ่งเป็นลูกย่อมโมโหแน่ จึงสั่งประหารทันที

ตี๋เหรินเจี๋ยซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดคัดค้านว่ากฎหมายไม่มีโทษใดกำหนดว่าการตัดต้นไม้ผิดมีโทษถึงตาย

ถังเกาจงยืนกรานว่า “ต้นไม้พวกนั้นไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา เพราะเป็นต้นไม้ในสุสานของพระบิดาของข้า หากข้าซึ่งเป็นลูกปล่อยให้มันรอดไปได้ นั่นถือว่าข้าไม่กตัญญู!”

แต่ตี๋เหรินเจี๋ยกลับใช้กฎหมายเข้าคัดค้าน รวมถึงหลักการปกครองมาอธิบายให้ฮ่องเต้ถังเกาจงลดความโกรธลง ใช้ความยุติธรรมและพระเมตตาเข้าแทนที่

สุดท้ายแล้วถังเกาจงฮ่องเต้จึงยินยอมให้ตัดสินความผิดตามกฎหมาย

นี่คือคดีที่ตัดสินโดยตี๋เหรินเจี๋ยคดีเดียวที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ เป็นคดีที่ทำให้เห็นถึงการตัดสินโดยหลักการและหลักมนุษยธรรม มากกว่าหลักการพิสูจน์ทราบโดยการสังเกตและวิทยาศาสตร์แบบที่เรามักได้รับรู้จากนิยายเกี่ยวกับตี๋เหรินเจี๋ย

คดีพิสดารที่งอกเงยออกมาเป็นนิยายและภาพยนตร์ที่เราได้ดูได้ฟังในปัจจุบัน มีที่มาจากตำนานที่ชาวบ้านจีนแต่งและรวบรวมขึ้นมาในช่วงราชวงศ์ชิง ช่วงนั้นกระแสนิยายจีนประเภทสืบสวนกำลังมาแรง เป็นยุคเดียวกับที่นิยายสอบสวนสืบสวนอย่างเรื่องเปาบุ้นจิ้น และซือกง ถือกำเนิด

แต่แล้วนิทานพวกนี้ก็ถูกอาจารย์ด้านจีนศึกษาชาวฮอลแลนด์ท่านหนึ่งที่ชื่อ Robert Van Gulik นำไปแต่งเติมใหม่ อาจารย์ท่านนี้มีภรรยาเป็นชาวจีน และเคยเป็นทูตฮอลแลนด์ประจำประเทศจีน จึงมีความรู้ด้านภาษาจีนไม่น้อย

อาจารย์ Robert Van Gulik คงเห็นแววว่านิยายตี๋เหรินเจี๋ยของจีนเทียบเท่าเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ของอังกฤษได้ จึงได้ใช้โครงเรื่องนิทานจีนมาแต่งเติมขยายออกไปเป็นนิยายตี๋เหรินเจี๋ยในแบบฉบับของตัวเองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ในชื่อ “Celebrated Cases of Judge Dee”

เขายังเขียนซีรี่ส์ตี๋เหรินเจี๋ยนี้มายาวนานต่อเนื่องถึงกว่า 20 ปี

หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลมาก ถึงขนาดที่บางมหาวิทยาลัยของโลกตะวันตก (เช่น University of Chicago) ใช้เป็นหนังสือเพื่อประกอบการศึกษาสังคมจีน

อาจารย์ Robert Van Gulik คนนี้ และความโด่งดังของตี๋เหรินเจี๋ยในโลกตะวันตก ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน

แต่ความหลักแหลมและชีวิตที่หวือหวาของตี๋เหรินเจี๋ยตัวจริงไม่ใช่สิ่งเลื่อนลอย

ครั้งหนึ่งเขาติดคุกในข้อหากบฏ!

ในสมัยของฮ่องเต้อู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน ด้วยฝีไม้ลายมือในการทำงานและชื่อเสียงด้านคุณธรรม ตี๋เหรินเจี๋ยได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี แต่เป็นได้ไม่นาน กลับถูกเขม่นโดยขุนนางคนหนึ่งที่ชื่อคู่ลี่ คู่ลี่ใส่ความว่าตี๋เหรินเจี๋ยคิดก่อการกบฏ จนอู่เจ๋อเทียนสงสัยว่าตี๋เหรินเจี๋ยคิดเป็นกบฏจริงเขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกจับกุมในที่สุด

การลงโทษในคดีกบฏช่วงนั้นแปลกอยู่อย่าง คือหากจำเลยไม่รับผิดแต่โดยดีจะถูกทุบตีทรมานจนอาจถึงตาย แต่สำหรับคนที่สารภาพง่ายๆ ศาลถือว่าเป็นคนหัวอ่อน มักจะไม่ถูกสืบสาวจริงจัง

ตี๋เหรินเจี๋ยรู้กติกาข้อนี้ดี เขารีบสารภาพทันที “ใช่ ข้าเคยเป็นขุนนางราชวงศ์ถัง วันนี้ฮ่องเต้อู่เจ๋อเทียนเปลี่ยนราชวงศ์ เอาเป็นว่าข้ากบฏก็ได้... ยอม”

แต่ตี๋เหรินเจี๋ยคิดช่วงชิงจังหวะที่เขาต้องถูกกักขังก่อนประหาร เขาแอบเขียนจดหมายอธิบายความจริงแล้วสอดไส้ไว้ในผ้านวมที่นำติดตัวมาก่อนเข้าคุก แล้วขอเอาผ้าห่มคืนให้กับลูก โดยอ้างว่าตอนโดนจับใหม่ๆ อากาศหนาว แต่ตอนนี้อากาศอบอุ่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้านวมผืนนี้แล้ว ผู้คุมยอมให้ตี๋เหรินเจี๋ยเอาผ้าห่มคืนให้ลูกแต่โดยดี

ลูกชายตี๋เหรินเจี๋ยรู้ทันพ่อ สำรวจผ้านวมที่ได้คืนมาจึงค้นพบจดหมาย แล้วจึงถวายให้กับฮ่องเต้อู่เจ๋อเทียน จึงเป็นเหตุให้พระองค์เรียกตัวตี๋เหรินเจี๋ยมาซักถามว่าตกลงเขาเป็นกบฏจริงไหม

ตี๋เหรินเจี๋ยตอบว่า “ข้ามิได้มีใจเป็นกบฏแต่อย่างใด ยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์”

อู่เจ๋อเทียนถามต่อว่า “อ้าว แล้วสารภาพทำไม?”

ตี๋เหรินเจี๋ยตอบง่ายๆ “ถ้าไม่สารภาพ ข้าคงโดนตีตายไปเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีโอกาสได้อธิบายให้กับพระองค์ได้ในทุกวันนี้” อู่เจ๋อเทียนพยักหน้าเพราะเข้าใจกติกานี้ดีเช่นกัน

เนื่องจากสถานการณ์ตอนนั้นบ้านเมืองต้องการกำลังขุนนาง อู่เจ๋อเทียนอยากใช้ตี๋เหรินเจี๋ย และก็ไม่อยากฉีกหน้าคู่ลี่ อู่เจ๋อเทียนจึงเปิดตาข้างหนึ่งด้วยการปล่อยตี๋เหรินเจี๋ย และปิดตาข้างหนึ่งลดตำแหน่งตี๋เหรินเจี๋ยลง 4 ขั้น เพื่อรักษาน้ำใจคู่ลี่

สำหรับตี๋เหรินเจี๋ยอาจมองได้ว่าเป็นโชคชะตาที่โหดร้าย แต่สำหรับคนที่เคยโดนตีตราด้วยโทษกบฏแล้วก็จัดว่าเป็นบุญโข

มีชีวิตรอดย่อมมีหนทาง ไม่นานนักตี๋เหรินเจี๋ยได้กลับมาเป็นอัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง เขาเป็นผู้ช่วยอู่เจ๋อเทียนคนสำคัญ และถือได้ว่าเป็นเสาหลักสำคัญที่ทำให้แผ่นดินจีนยุคนั้นมั่นคง

ภาพสะท้อนขุนนางชั้นดีของจีนหลายครั้งเกิดจากการเอาชีวิตเข้าแลกหลักการหรือศักดิ์ศรี แต่ความเป็นจริงด้านหนึ่งที่ไม่มีทางปฏิเสธก็คือ สติปัญญา ความสามารถ และความสัตย์ซื่อถือคุณธรรม ยังมีโอกาสงอกเงยได้เสมอ หากเรายังมีชีวิต

ตี๋เหรินเจี๋ยกล้าพอที่จะยืนหยัดในหลักการและความถูกต้อง แต่ก็มีสติและปัญญามากพอที่จะไม่ฝืนความบิดเบี้ยวของสังคมที่ยังไม่สมบูรณ์จนต้องเอาชีวิตเข้าไปแลกเปล่าๆ

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1