วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ถ่ายทอดศาสตร์พระราชา
...ข้าวต้องปลูก เพราะอีก 20 ปี ประชากรอาจจะ80 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อยๆ ข้าวจะไม่พอ
โดย...ปิยนุช ผิวเหลือง
“...ข้าวต้องปลูก เพราะอีก 20 ปี ประชากรอาจจะ80 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อยๆ ข้าวจะไม่พอ เราจะต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ เรื่องอะไรประชาชนคนไทยไม่ยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก...” พระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ หรือที่รู้จักกันในนาม “อาจารย์ยักษ์” ผู้ก่อตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง หนึ่งในบุคคลสำคัญผู้ร่วมขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สู่การปฏิบัติจริง
“อยากให้มีการขับเคลื่อนศาสตร์นี้จริงๆ จึงได้จัดตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องขึ้นในปี 2526 แต่ด้วยความไม่ต่อเนื่องในการขับเคลื่อนช่วงแรกทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้อำนวยการกองประเมินผลและข้อมูล สำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อออกมาดูแลศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องเต็มตัวในปี 2539 เมื่อกลับมาด้วยความเข้าใจและความมุ่งมั่นแรงกล้า ทำให้ศูนย์กสิกรรมค่อยๆ เป็นที่รู้จัก” ดร.วิวัฒน์ กล่าว
แนวคิด “ที่ดิน 1 งาน 100 ตารางวา หรือประมาณ 1 ใน 4 ไร่ นำมาแปรรูปตามขั้นตอนที่ท่านรับสั่ง เช่น การนำสมุนไพรมาแปรรูป ทำเป็นยารักษาโรคพืช โรคสัตว์ หรือรักษาคน สร้างรายได้หลักล้าน แต่ท่านไม่ได้ต้องการให้ทำเพื่อขาย แต่ให้มุ่งเน้นการทำเพื่ออยู่ เพื่อใช้ เมื่อเหลือนำมาทำบุญทำทานก่อนที่จะนำมาแปรรูป ซึ่งเราไม่ได้มุ่งเน้นทำเงิน แต่เราเน้นให้ความรู้ เอาแนวคิดประสบการณ์นี้ เผยแพร่แก่ชาวบ้านต่อ แต่เราเน้นการตั้งโรงเรียน”
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถทำโซเชียล เอนเตอร์ไพรส์ (ธุรกิจเพื่อสังคม) ได้ ตั้งบริษัทขึ้นเพื่อหาเงิน จนสามารถจัดตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัยขึ้น จดทะเบียนที่ จ.ชลบุรี เป็นการศึกษาชั้นประถม และศูนย์การเรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติจดทะเบียนที่ จ.ระยอง เป็นการศึกษาชั้นมัธยม สำหรับหลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาโทจดทะเบียนร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์ หลักสูตรผู้ประกอบการสังคม
ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย แท้จริงแล้วหมายรวมทั้งโรงเรียน ศูนย์การเรียนรู้ วัด สถานที่ พักพิงภัยพิบัติ และชุมชน บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ในศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี ซึ่งได้เริ่มต้นจากศูนย์ฝึกระยะสั้น ตามด้วยค่ายพักพิง และนำไปสู่การจดทะเบียนก่อตั้งสถาบันการศึกษา กสิกรรมธรรมชาติชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี และปริญญาโท ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายตัวของเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ออกไปทั่วประเทศ 69 แห่ง แต่ยังมีการดำเนินการที่เข้มแข็งประมาณ 44 แห่ง
นอกเหนือจากนี้ กสิกรรมธรรมชาติมีการจัดตั้งในต่างประเทศ 2 แห่ง ที่ประเทศกัมพูชาและเมียนมา เพียงแต่ยังไม่เข้มแข็งเท่าในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีเยาวชนจากประเทศภูฏานเข้ามาศึกษาในระดับปริญญาตรี 4 ราย ในอนาคตจึงคาดว่าจะมีการจัดตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติในภูฏานเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 3 แห่ง
สำหรับพื้นที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติที่ได้จัดตั้งขึ้นได้มีพื้นที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ด้านการออกแบบพื้นที่เพื่อการจัดการน้ำและฟื้นฟูสร้างระบบนิเวศด้วยการจัดการดินและป่า ปลูกป่า 3 อย่าง ปลูกแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ บำบัดน้ำเสีย เป็นต้น นำไปสู่การสร้าง โคกหนองนาโมเดล หรือการออกแบบพื้นที่เพื่อการจัดการน้ำตามหลักภูมิสังคม
ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติยังได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาคประชาชนเรื่อยมา โดยล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เปิดโครงการ “ทุนพอเพียง โดย กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้ศึกษา เรียนรู้ และพัฒนาวิถีชีวิตตาม “ศาสตร์พระราชา”รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีศักยภาพและความตั้งใจจริงให้ได้รับทุนสนับสนุนการเริ่มต้น หรือต่อยอดการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้มอบทุน 3 ประเภท ได้แก่ 1.ทุนความรู้จากการจัดอบรมหลักสูตรพิเศษทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 60 คน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 2.ทุนเครือข่าย ซึ่งผู้ร่วมโครงการทั้ง 60 คน จัดตั้งเป็น “เครือข่ายทุนพอเพียง” ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จากด้านการจัดการที่ดินของแต่ละคนตลอดจนร่วมลงพื้นที่พัฒนาที่ดินตัวอย่างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และ 3.ทุนเงิน จะดำเนินการเปิดบัญชี “ทุนพอเพียง โดยกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” เพื่อสนับสนุนทุนตามความเหมาะสมแก่สมาชิกเครือข่ายที่ได้รับการคัดเลือกเป็นพื้นที่ตัวอย่างจำนวน 3 ทุน มูลค่ารวม 4 แสนบาท ซึ่งจะเป็นโครงการต่อเนื่องทุกปี เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยและสานต่อศาสตร์พระราชาต่อไป


