posttoday

เสี่ยวเฉิงกับต้าเฉิง

21 พฤษภาคม 2560

ความเข้าใจผิดๆ อย่างหนึ่งระหว่างชาวพุทธสายต่างๆ คือเรื่องนิกาย โดยเฉพาะเรื่องมหายาน-หีนยาน

โดย...กรกิจ ดิษฐาน

ความเข้าใจผิดๆ อย่างหนึ่งระหว่างชาวพุทธสายต่างๆ คือเรื่องนิกาย โดยเฉพาะเรื่องมหายาน-หีนยาน ซึ่งมักทำให้ชาวพุทธ 2 กลุ่มทะเลาะกันบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจมโนทัศน์พื้นฐานเอาเลย

ก่อนอื่นผมเสนอว่า เราไม่ควรใช้คำว่า หีนยาน อีกต่อไป เพราะคำคำนี้ มี 2 นัย

นัยแรก หมายถึง ยานที่ต่ำต้อย เพราะคำว่า หีนะ แปลว่า ต่ำหรือเลว (เลวในที่นี้ไม่ได้แปลว่า bad แต่แปลว่า crude หรือหยาบ)

นัยที่สอง หมายถึง ยานที่เล็ก ตามความหมายอีกนิยามของศัพท์ หีนะ ที่แปลว่า เล็ก หรือน้อย

เวลาคนเราทะเลาะกัน มักจะขุดเรื่องไม่ดีมาโจมตี เช่นกัน เมื่อใดฝ่ายหนึ่งขัดแย้ง ก็มักยกนิยาม หีนะ ที่แปลว่า ต่ำต้อย ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง

แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นเป็นเช่นนั้น

เมื่อครั้งที่พระกุมารชีพ ท่านเริ่มโครงการแปลพระสูตรจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนเมื่อสมัยหนานเป่ย ท่านเลือกภาษาจีนคำหนึ่งแทนคำว่า หีนยาน นั่นคือคำว่า เสี่ยวเฉิง (&>3567;&>0056;) คำว่า เสี่ยว (&>3567;) แปลว่า เล็ก ไม่มีนัยต่ำต้อย ก็แค่เล็กๆ น้อยๆ พอตัว ส่วนคำว่า เฉิง (&>0056;) แปลว่า ยาน รวมแล้ว เสี่ยวเฉิง คือยานเล็ก

ส่วนยานใหญ่ใช้คำว่า ต้าเฉิง (&>2823;&>0056;) แปลว่า ยานใหญ่ ก็เท่านั้นเอง

ยานเล็ก หมายถึง สาวกยาน คือผู้ที่ตั้งปรารถนาที่จะบรรลุธรรมก่อนแล้วค่อยช่วยคนอื่นเท่าที่ช่วยได้ก่อนจะนิพพาน

ยานใหญ่ หมายถึง ผู้ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ บรรลุธรรมทีหลัง ช่วยสรรพสัตว์ทั้งหมดสากลจักรวาลเสียก่อน

นี่คือนัยที่แท้จริงและปราศจากอคติของหีนยานและมหายาน

แต่เพราะมนุษย์มักมีอคติต่อให้ถ้อยคำบริสุทธิ์คนเราก็มักแสวงหาความขัดแย้งจนพบ ดังนั้นในช่วงหลังผมจึงไม่ใช้คำว่าหีนยานอีก แต่ไพล่ไปเรียกว่า “อนุยาน” แทน แม้นว่าคำ “อนุ” จะมีนัยอื่นเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าคำว่า หีนะ

คำคำนี้พึงใช้กับผู้ที่มีอินทรีย์อ่อน หากในการศึกษาเชิงวิชาการโดยผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า และมีอุเบกขาธรรมสูง จะใช้หีนยาน อนุยาน มหายาน ฯลฯ ก็หาได้เกิดความขุ่นเคืองใจแต่อย่างใดไม่

ว่ากันที่คำ “เถรวาท” กับ “มหายาน”

คำนี้เป็นการจับคู่ที่ไม่ถูกต้อง เพราะเถรวาทคือนิกาย หรือสังกัด ส่วนมหายานคืออุดมการณ์ หรือเป้าหมาย 

โดยคร่าวๆ เถรวาท คือคณะสงฆ์ที่สืบทอดพระธรรมวินัยของพระศาสดา ผ่านการสังคายนาครั้งที่ 1 โดยไม่แก้ไข โดยเหตุที่เชื่อตามพระเถระแห่งการสังคายนาครั้งที่ 1 จึงเรียกว่า สฺถวิรนิกาย หรือสฺถวิรวาท (ภาษาสันสกฤต) หรือเถรวาท (ภาษาบาลี) แปลว่า ผู้ที่เชื่อตามวาทะพระเถระ (ในการสังคายนาครั้งแรก)

ในตำราจีนเรียกเถรวาทว่า “อารฺยสฺถวิรนิกาย” (&<9978;&>4231;&&7096;) ซึ่งอีกชื่อหนึ่งในภาษาสันสกฤตของนิกายเถรวาท คำว่า &<9978;&>4231; ภาษาจีนแปลโดยตรงแปลว่า ผู้นั่งบนอาสนะสูง โดยนัยหมายถึงผู้ที่มั่นคง (การนั่งย่อมมั่นคง?) ในบาลีตรงกับคำว่าเถระ คือพระผู้อาวุโสมีพรรษามาก

ตามธรรมเนียมมหายานบางสำนัก เช่น นิกายฌาน (&&1109;&>3447;) หรือที่เราเรียกว่า นิกายเซน ยังเรียกพระผู้ใหญ่ว่า ซ่างจั้ว (&<9978;&>4231;) เป็นผู้ควบคุมดูแลหอวิปัสสนากรรมฐาน

นี่คือการรักษาความหมายที่แท้จริงของ &<9978;&>4231; หรือเถระ คือพระที่มีพรรษามาก มีภูมิธรรมสูงสามารถดูแลพระนวกะ หรือพระมัชฌิมได้

อนึ่ง พระนวกะ ท่านเรียกว่า เซี่ยจั้ว(&<9979;&>4231;) แปลตรงตัวคือพระอันดับ หมายถึงพระที่นั่งรองๆ ลงมา

ส่วนพระพรรษากลางๆ หรือพระมัชฌิมะ เรียกว่า จงจั้ว (&>0013;&>4231;)

จะเห็นได้ว่า คำ “เถรวาท” ตามนัยภาษาจีนที่นับถือฝ่ายมหายานก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะเป็นความหมายในเชิงยกย่องเสียด้วยซ้ำ

ปัญหาก็คือ คนทั่วไปแยกแยะความแตกต่างระหว่างเถรวาทกับมหายานไม่ออก และมักสับสนระหว่างเถรวาทกับหีนยาน มหายานกับอาจาริยวาท

ความสับสนนี้เกิดบ่อยและเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งบ่อยจนน่าเบื่อหน่าย ที่น่าเบื่อหน่ายเพราะเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนความเข้าใจผิดทั้งๆ ที่แก้ไขได้ไม่ยาก แต่กลับไม่มีใครคิดจะแก้ไขจริงๆ จัง

นอกจากคำว่า เถรวาท แล้วยังมีอีกคำที่สร้างความสับสนไม่น้อยกว่ากัน นั่นคือคำว่า “อาจาริยวาท”

แต่เดิมคำว่า อาจาริยวาท เป็นคำของฝ่ายบาลี หมายถึงคำสอนของเกจิอาจารย์ที่อธิบายพระไตรปิฎกและอรรถกถาตามนัยต่างๆ และรจนาเป็นฎีกาและอนุฎีกา

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่อาจาริยวาทแผลงจากความหมายถึงเกจิอาจารย์ของเถรวาท กลายเป็นอาจารย์ของฝ่ายมหาสางฆิกะ หรือบรรพชนของ “มหายาน”

แม้แต่คำว่า “เกจิอาจารย์” เองสมัยก่อนแปลว่าพระเถระสำนักต่างๆ ในฝ่ายปริยัติ ปัจจุบันมีความหมายถึงพระสงฆ์ที่นิยมทางตันตระและมนตรา

กาลเวลาผันผ่าน แม้แต่ใบลานยังจารผิด ประสาอะไรกับความนิยามศัพท์ที่ส่งต่อถึงกันจากปากสู่ปาก

ดังที่กล่าวไป ปัจจุบัน อาจาริยวาท หมายถึง คณะสงฆ์ที่เชื่อถือตามอาจารย์สมัยสังคายนาครั้งที่ 2 ซึ่งคณะสงฆ์เกิดเสียงแตกออกเป็นฝ่ายที่ไม่แก้ไขพระธรรมวินัย กับฝ่ายที่ปรารถนาจะแก้ไข

ฝ่ายต้องการแก้ไขแยกตัวออกไปเป็นมหาสางฆิกะ

แต่พงศาวดารศาสนาตอนนี้ก็คลุมเครือแตกแยกหนัก

เพราะคัมภีร์ทีปวงศ์ของเถรวาท กล่าวว่า มหาสางฆิกะต้องการแก้ไขพระวินัย แต่คณะสงฆ์ฝ่ายพระเถระที่ยึดมั่นในพระวินัยไม่เห็นด้วย มหาสางฆิกะจึงแยกตัวออกมา

ส่วนฝ่ายมหาสางฆิกะ ใช้คัมภีร์ศาริปุตรปริปฤจฉา อธิบายว่าว่า สงฆ์ส่วนใหญ่ หรือมหาสางฆิกะยืนยันในพระวินัยที่ถูกต้อง แต่สงฆ์ส่วนน้อยไม่เห็นด้วยต้องการให้แก้ไข จึงแยกตัวออกมา เรียกว่า “สถวีรวาท” ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤตของคำว่า เถรวาท

เรื่องนี้เป็นประเด็นยืดยาวจนผมต้องยกยอดออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะอธิบายเรื่องหีนยาน-มหายานก่อน และส่วนที่ 2 จะแยกแยะเรื่องเถรนิกายกับมหาสางฆิกะนิกายให้ชัดๆ

ย้ำอีกครั้งว่า ในสัปดาห์หน้าผมจะมาร่ายยาวต่อเนื่องมโนทัศน์หีนยาน (อนุยาน) และมหายาน

แต่ก่อนจะจบขอทิ้งท้าย พื้นฐานมโนทัศน์ที่ฝ่ายมหายานมองหีนยานสักเล็กน้อยว่า ที่เรียกว่ายานเล็กน้อย เพราะสอนให้ช่วยเหลือตนเองก่อน แล้วค่อยช่วยเหลือสรรพสัตว์

ดังพุทธโอวาทแก่ภิกษุในคัมภีร์พุทธวงศ์ ที่กล่าวว่า “เมื่อการงานที่พึงทำ ทำเสร็จแล้ว ก็จงบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเถิด”

เห็นไหมครับว่า ฝ่ายสาวกหรืออนุยานไม่ได้หนีเอาตัวรอด เพราะช่วยคนอื่นให้พ้นจากห้วงมหรรณพด้วย

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!