เป็นโจโฉ ต้องปวดหัว
เล่ากันว่าเมื่อบั้นปลายชีวิตโจโฉมีอาการปวดหัวหนักเรื้อรังถึงขั้นต้องเชิญหมอฝีมือเทวดา-หมอฮัวโต๋มารักษา
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
เล่ากันว่าเมื่อบั้นปลายชีวิตโจโฉมีอาการปวดหัวหนักเรื้อรังถึงขั้นต้องเชิญหมอฝีมือเทวดา-หมอฮัวโต๋มารักษา หมอฮัวโต๋เสนอวิธีรักษาด้วยการใช้ขวานผ่าตัดเอาลมที่เสียดแทงภายในสมองโจโฉออก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยกขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ฮือฮาเมื่อนั้น เพราะจัดเป็นเค้าลางความมหัศจรรย์ด้านการแพทย์เมื่อ 1,800 ปีที่แล้ว
แต่ก่อนที่หมอฮัวโต๋จะได้ผ่าตัดสมองโจโฉโจโฉกลับสั่งผ่าตัดทัศนคติในหัวหมอฮัวโต๋ซะก่อน โชคไม่ดีหมอฮัวโต๋แก่แล้วจึงทนการปรับทัศนคติในคุกไม่ไหว ความมหัศจรรย์ทางการแพทย์จึงเหลือเป็นแค่ตำนานต้องสงสัย ไม่มีเค้าลางข้อพิสูจน์ใดๆ ว่าหมอฮัวโต๋ทำได้จริง
แต่อาการปวดหัวของโจโฉนั้นมีเค้าลางว่าจริง และในช่วงท้ายๆ ของชีวิตเขาจะบวกเพิ่มอาการวิตกจริตหวาดระแวงเข้าไปกับอาการปวดหัวด้วยก็ยังได้
ถึงขนาดมีเกร็ดเล่ากันว่า โจโฉวางแผนแสร้งทำเป็นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วตกใจคว้ากระบี่เสียบพุงทหารรับใช้ของตัวเองเพื่อไม่ให้มีใครกล้าเข้าใกล้ตัวโจโฉยามหลับ นี่แสดงว่าอาการหวาดระแวงคงหนักไม่ใช่น้อย
โจโฉนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกถ้าจะออกอาการแบบนี้ยามแก่ คนคิดเยอะย่อมมีกรรมของคนคิดเยอะเอง แต่ถ้าจะบอกว่าอาการนี้มีปัจจัยภายนอกส่งเสริมก็ใช่จะไร้เหตุผล
และปัจจัยภายนอกที่ทำให้โจโฉปวดหัวนี้ คือสิ่งเดียวกันที่ทำให้โจโฉได้เปรียบผู้นำก๊กอื่นๆ นี่แหละ
ประวัติศาสตร์สามก๊กบอกว่าโจโฉเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุดในบรรดาก๊กทั้งปวง นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก และไม่ได้เกิดขึ้นโดยความสามารถส่วนตัวของโจโฉอย่างเดียว แต่เกิดเพราะโจโฉตัดสินใจเข้าถือไพ่ใบหนึ่งซึ่งเหนือกว่าขุนศึกคนอื่น เป็นความได้เปรียบที่จับต้องได้จริง นั่นก็คือโจโฉมีฮ่องเต้อยู่ในมือ
ขณะที่ขุนศึกคนอื่นๆ กำลังไตร่ตรองว่าจะรวบรวมไพร่พลสร้างฐานอำนาจอย่างไร หรือจะตั้งตัวเป็นฮ่องเต้เมื่อไหร่ ปล่อยเกียร์ว่างกับฮ่องเต้ให้พระองค์ระหกระเหิน โจโฉตัดสินใจตามที่กุนซือของตนแนะนำ เข้าอุ้มชูฮ่องเต้
และนั่นคือการคว้าโอกาสที่งดงามที่สุด เพราะโจโฉได้ชื่อว่าเป็นผู้กอบกู้ราชวงศ์ฮั่นที่ทุกคนไม่แน่ใจว่าจะล่มสลายเมื่อไหร่ให้กลับมีความหวังขึ้นมา
ความหวังในราชวงศ์เดิมมิได้ลอยอยู่ลมๆ แล้งๆ นอกจากอดีตขุนนางราชวงศ์ฮั่น รวมถึงระบบตำแหน่งเบี้ยหวัดของราชวงศ์เดิมที่มีพื้นฐานเป็นบุคลากรจำนวนมากอยู่แล้ว เหล่าผู้กล้าและผู้มีปัญญายังเพ่งเล็งไปที่จะมาทำงานกับโจโฉโดยอัตโนมัติ
กลียุคเช่นสามก๊ก บุคลากรย่อมเป็นสิ่งสำคัญ ไพ่เด็ดใบนี้ที่โจโฉถือไว้ ทำให้โจโฉดึงดูดบุคลากรได้หลากหลายประเภท
ใครชื่นชมในตัวโจโฉย่อมไม่มีปัญหา เพราะมาอยู่กับโจโฉได้ทุกเมื่อ
ใครศรัทธาต่อราชวงศ์ฮั่น อยากเห็นความรุ่งเรืองในอดีตกลับคืนมา หรือสงสารฮ่องเต้น้อย ย่อมต้องมายืนอยู่ในดินแดนเดียวกับโจโฉ
หรือใครอยากแสดงฝีมือกับรัฐบาลที่เป็นศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริง ย่อมควรต้องมารับตำแหน่งในก๊กของโจโฉเช่นกัน
ก๊กของโจโฉ จึงเป็นก๊กที่มีผู้คนที่มีความสามารถรวบรวมไว้มากที่สุด เสน่ห์ในตัวผู้นำของโจโฉอาจทำให้ผู้คนเข้ามาร่วมมือกับเขาด้วย แต่หากไม่ได้มีฮ่องเต้เป็นพวก บุคลากรชั้นเยี่ยมของโจโฉย่อมต้องลดลงมากกว่านี้อีกแน่นอน
ไพ่ที่โจโฉถืออยู่ในมือช่างวิเศษ อย่างน้อยก็ทำให้โจโฉมีบุคลากรให้ช่วงใช้ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งตัวได้ทันที นามบัตรผู้พิทักษ์ฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียวแห่งราชอาณาจักร ช่างศักดิ์สิทธิ์
โจโฉยังมีสิทธิตราหน้าพวกไม่เชื่อฟังทั้งหลายว่าทรยศต่อราชวงศ์ฮั่น ไม่ฟังคำสั่งรัฐบาลกลาง ตั้งตัวเป็นกบฏ
แต่ของดีก็มีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ ปัญหานี้ทำให้ความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ความหวาดระแวง และความโหดเหี้ยมของโจโฉ ขยายตัวขึ้นลุกลาม
เมื่อราชวงศ์ฮั่นแสดงอาการที่แท้จริงออกมาว่าไร้ทางสานต่อ และถูกสั่นคลอนด้วยเครือข่ายลูกน้องโจโฉ บทบาทของโจโฉทำให้บทบาทของฮ่องเต้ลดลงเรื่อยๆ ลูกน้องโจโฉเห็นโจโฉเป็นใหญ่สุดไม่ใช่ฮ่องเต้ ส่วนผู้คนที่เป็นปฏิปักษ์กับโจโฉก็เริ่มเห็นแววการซ้อนทับอำนาจว่าเกิดขึ้นจริง อุดมการณ์ที่โจโฉใช้ดึงดูดบุคลากรมากมายจึงเริ่มทำพิษ
ผู้ที่ร่วมทำงานกับเขาเพราะมีอุดมการณ์สานต่อราชวงศ์ฮั่นจึงพลิกกลับเป็นอริ และเป็นอริประชิดตัวที่คนอย่างเล่าปี่และซุนกวนผู้นำก๊กอื่นไม่จำเป็นต้องมานั่งหวาดผวา
จากโจโฉที่อยู่ท่ามกลางดงผู้มีความสามารถ จึงกลายเป็นโจโฉต้องอยู่ท่ามกลางศัตรูที่เคยร่วมงานกัน และที่สำคัญคือบ่งบอกออกมาไม่ง่าย ว่าใครคือมิตรแท้และศัตรูใหม่ ว่าใครรับสถานะของโจโฉได้ และใครเริ่มขัดเคือง
พฤติกรรมฆ่าบัณฑิต หรือแม้แต่ฆ่าที่ปรึกษาคนสนิทในบั้นปลายชีวิตของโจโฉที่ทำสถิติสูงมากขึ้น จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุฉะนี้ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมโจโฉจึงได้ชื่อว่าเป็นพวกหวาดระแวงและถึงขั้นปวดหัวรุนแรงเมื่อบั้นปลาย...ก็อันตรายมันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดและตลอดเวลา
โรงเรียนที่ทำให้นักเรียนทุกคนต้องการคะแนนเพียงอย่างเดียวย่อมปกครองง่าย เพราะแค่ใช้คะแนนเข้าจูงใจนักเรียนก็สั่งซ้ายหันขวาหันได้ บริษัทที่ทุกคนต้องการผลประโยชน์เป็นตัวเงิน ย่อมใช้ผลประโยชน์และความร่ำรวยเข้าควบคุมกติกาการทำงานได้ง่ายดายเช่นเดียวกัน ถ้าบุคลากรในก๊กโจโฉต้องการแค่ให้ก๊กตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า โจโฉคงไม่ต้องปวดหัวและพึ่งพาหมอฮัวโต๋แบบนี้
แต่เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงความต้องการของผู้คนหลากหลายไม่เรียบง่ายขนาดนั้น บางคนต้องการเงิน บางคนต้องการอำนาจ บางคนต้องการความก้าวหน้า บางคนต้องการความภาคภูมิใจ บางคนต้องการความมั่นคง บางคนอนุรักษนิยม บางคนหัวก้าวหน้า สถานการณ์แบบก๊กโจโฉยิ่งแล้วใหญ่ เมื่ออุดมการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนไปขององค์กรเป็นคนละเรื่องกับอุดมการณ์ตั้งต้น บุคลากรที่ภักดีในเบื้องต้นจึงระส่ำระสายกลายเป็นอริกับตัวโจโฉเอง
โลกสมัยนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้น ความต้องการของคนในองค์กรอาจจะมีเพิ่มหมวดหัวข้อ ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม ต้องการชุมชนที่ดี โดยไม่ได้แคร์กับรายได้หรือสิ่งล่อใจอื่นๆ แม้ไม่ได้เป็นถึงผู้นำในวิกฤตแบบโจโฉ ก็ยังเข้าใจความปวดหัวแบบนี้ได้ไม่ยาก
ไม่แน่ใจว่าคนฉลาดอย่างโจโฉได้คาดเดาสถานการณ์แบบนี้ไว้ก่อนหรือไม่ แต่คนรุ่นหลังที่เรียนรู้จากชีวิตของโจโฉพึงตระหนักไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่านั่นเป็นความน่าเห็นใจหนึ่งของคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบโจโฉ


