posttoday

ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน

07 พฤษภาคม 2560

ปลายปี 2012 หนังจีนเรื่อง “Lost In Thailand (แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์)” หนังตลกโปกฮาที่ทำให้เกิดกระแสจีนเที่ยวไทย

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ปลายปี 2012 หนังจีนเรื่อง “Lost In Thailand (แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์)” หนังตลกโปกฮาที่ทำให้เกิดกระแสจีนเที่ยวไทย ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลทะลุสถิติหนังทุกเรื่องที่เคยฉายในแผ่นดินจีน

ในเวลาเดียวกันมีหนังอีกเรื่องชื่อ “Back To 1942 (แผ่นดินวิปโยค)” ของผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกังเข้าฉาย เป็นหนังคุณภาพจริงจังโปรดักชั่นอลังการ มี Andrien Brody นักแสดงออสการ์เป็นตัวเรียกแขก แต่เพราะผู้ชมชาวจีนไม่ใช่แขกจึงกลับทำรายได้ต่ำเตี้ยผิดฟอร์ม เฝิงเสี่ยวกังผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่เคยทำหนังคุณภาพดีและดังมาไม่น้อยต้องถอนใจและบอกออกมาว่า “ขอยอมรับ...และรู้แล้วว่าคนจีนชอบดูหนังแบบไหน”

แต่นั่นไม่ได้ทำให้ “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน(&>5105;&<9981;&>6159;&>8504;&&7329;&&3714; / I Am Not Madame Bovary)” ผลงานกำกับเรื่องต่อมาของเขาทิ้งแนวทางคุณภาพของตัวเองไป

ครั้งนี้จะเอาทั้งเงินและกล่อง

“ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” คือนิยายที่แต่งโดย หลิวเจิ้นหยุน ตีพิมพ์ในปี 2012 และเป็นดาวเด่นแห่งปีในวงวรรณกรรมจีน

ในแผ่นดินที่ใช้ภาษาจีนจึงคุ้นหูกับนิยาย “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” เป็นอย่างดี จนเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งเมื่อเฝิงเสี่ยวกังหยิบขึ้นมาทำเป็นหนัง

ชื่อ “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” อ้างอิงถึงชื่อตัวละครในวรรณกรรมโบราณที่ชื่อ “พานจินเหลียน” เธอเป็นสาวใช้หน้าตาดีที่อาศัยอยู่ในบ้านเศรษฐีจอมเจ้าชู้ เมื่อเธอไม่ยินยอมเป็นภรรยาน้อยของเศรษฐีจึงถูกกลั่นแกล้งให้แต่งงานกับชายอัปลักษณ์ และนั่นนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เกี่ยวพันกับการคบชู้สู่ชาย และจบลงด้วยการวางยาฆ่าสามีตัวเองในที่สุด ชาวจีนประณามพานจินเหลียนว่าเป็นนางแพศยา และตอกย้ำด้วยการแต่งตั้งเธอเป็นเทพแห่งโสเภณี

ส่วนนิยาย “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” ว่าด้วยหญิงสาววัย 29 ปี ที่ชื่อหลีเสวียะเหลียน เธอร่วมมือกับสามีแกล้งหย่าร้างกันปลอมๆ เพื่อให้ได้สิทธิมีลูกคนที่สอง แต่กลายเป็นว่าการหย่าร้างปลอมๆ กลับกลายเป็นเรื่องจริง เมื่อสามีที่เคยร่วมมือกันไปแต่งงานกับหญิงอื่น

หลีเสวียะเหลียนตามเอาเรื่องสามีถึงที่สุด เพื่อที่จะทำให้การหย่าร้างหลอกเป็นโมฆะ เธอเริ่มต้นด้วยการฟ้องศาลในท้องที่ แต่ด้วยหลักฐานที่เลื่อนลอย เธอจึงไม่ได้ความยุติธรรมตามแบบฉบับที่เธอเรียกร้อง ยิ่งฟ้องก็ยิ่งรู้สึกโดนรังแก แถมยังถูกสามีประณามกลางวงเหล้าว่าสาเหตุที่เลิกกับเธอเพราะก่อนแต่งงานเธอเป็นหญิงไม่บริสุทธิ์ “เพราะเธอมันคือพานจินเหลียน!!!”

เรื่องหย่าจริงหย่าปลอมจึงไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เธอขอสู้ไม่ถอยเพื่อลบล้างคำสบประมาทว่า “เธอไม่ใช่พานจินเหลียน!!!”

เมื่อเธอพยายามใช้วิธีชำระแค้นด้วยตัวเองแต่ไม่สำเร็จ จึงเหลือความหวังเดียวคือการพึ่งพากระบวนการยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่และยุติธรรมกว่านั้น แต่ที่ไหนได้ยิ่งพยายามก็ยิ่งวุ่น “จากเมล็ดแตงโมกลายเป็นลูกแตงโม จากมดกลายเป็นช้าง จากไม่ใช่พานจินเหลียน จนกลายเป็นพานจินเหลียน” ความดื้อไม่หยุดของเธอ ทำเอาทั้งนายอำเภอ ตุลาการจนถึงตุลาการที่ปักกิ่งสะดุ้งทั้งขบวน

ท่ามกลางชายผู้กุมเส้นทางอำนาจและความยุติธรรมในสังคม เธอต่อสู้ถึง 10 ปี (ในนิยายใช้เวลา 20 ปี) เพื่อจะกู้ศักดิ์ศรีลมๆ แล้งๆ กลับคืนมา (...ได้หรือไม่ต้องดูเอาเอง)

ฟังดูเหมือนหนังชีวิต แต่ที่จริงกลับเป็นหนังตลก (ร้าย) ชวนหัว ที่ยั่วต่อมชวนคิดว่าความยุติธรรมที่รัฐจีนพยายามหยิบยื่นให้ประชาชนมันเป็นความยุติธรรมในหัวของชาวบ้านจีนจริงหรือไม่ และความเตลิดเปิดเปิงทั้งหมดเกิดจากความบ้าบอของใครกันแน่...

นอกจากเนื้อหาที่ตลกร้ายจิกกัดที่มีมาตั้งแต่ในนิยาย หนังเรื่องนี้ยังมีงานภาพที่ดูแปลกตาจากหนังทั่วไปเพราะเป็นหนังวงกลม ซึ่งบางคนรำคาญตา บางคนบอกว่าเป็นปรัชญาและแนวคิดลึกซึ้ง

เฝิงเสี่ยวกังบอกว่า การตีกรอบภาพเป็นวงกลมอธิบายได้หลายแบบ แต่ผลที่จับต้องได้คือความรู้สึกทิ้งระยะจากคนดูมากขึ้น เป็นการแอบดู เป็นภาพวาด เป็นเรื่องเล่า เป็นศิลปะ ซึ่งช่วยให้เนื้อหาจริงจังที่คล้ายจะเกิดขึ้นจริงในแผ่นดินจีนได้ทุกเมื่อลดความเหมือนจริงลง และอันตรายน้อยลง (สำหรับการเซ็นเซอร์ของรัฐจีน)

ส่วนคำอธิบายปรัชญาแนวคิดเรื่องภาพเป็นวงกลมกลับเป็นเรื่องมโนที่พูดไปได้เรื่อยๆ ที่จริงเขาเพียงต้องการให้หนังมีจุดเด่นแตกต่างและดูจีน เพราะนี่เป็นเรื่องราวของ China Only

เมื่อเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่ามีไอเดียจะถ่ายหนังวงกลม คำตอบวินาทีแรกของทุกคนคือคำชื่นชม แล้วก็ตามมาด้วย “แต่...” และคำคัดค้านต่างๆ นานาในวินาทีที่สอง แต่เฝิงเสี่ยวกังคิดว่า ด้วยอายุและเรี่ยวแรงที่มีเขาคงกำกับหนังได้อีกไม่กี่เรื่อง จึงขอทำตามใจตัวเองสักหน่อย

ผลก็คือหนังเรื่องนี้ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ฟ่านปิงปิง) และกำกับภาพยอดเยี่ยม จากเวทีเอเชียนฟิล์ม อวอร์ดส์ ครั้งที่ 11 (ออสการ์แห่งเอเชีย) และเฝิงเสี่ยวกังได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของรางวัลม้าทองคำ ครั้งที่ 53 (ออสการ์แห่งหนังจีน)

กว่าเฝิงเสี่ยวกังจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่าย เขากล่าวว่าผลงานกำกับหนังเรื่องแรกในชีวิตผู้กำกับหนังของเขาเริ่มด้วยการ “เลียนแบบหนังฮอลลีวู้ดเกรด B เพื่อทำออกมาเป็นหนังจีนเกรด C…” แล้วจึงค่อยๆ สร้างผลงานในแนวหนังตลกถึงตลกร้ายดูง่ายที่ทำรายได้ไม่เลว

ไม่ใช่เพราะเขาอยากเอาดีด้านหนังตลก แต่เป็นเพราะด้วยสภาพการสร้างหนังยุคนั้นต้องต่อสู้ฟาดฟันกับระบบเซ็นเซอร์และตลาด หลายครั้งต้องหลั่งน้ำตาเพราะขาดทุนจากการสั่งหยุดกำกับกลางทาง และกัดฟันรอทำหนังในฝันต่อไป

จนในระยะหลังนี้เอง จึงค่อยมีผลงานที่เขาเก็บความอยากไว้ในใจมาเนิ่นนาน เช่นAfter Shock (มหาภิบัติสิ้นแผ่นดิน - ว่าด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่), Back To 1942 (ว่าด้วยทุพภิกขภัยครั้งใหญ่) หนังพวกนี้ไม่มีประเด็นขัดแย้งกับรัฐบาล แต่กว่าจะถึงฝั่งฝันมีเงินทุนให้ทำได้ ก็ต้องเจรจากับค่ายหนังแลกเปลี่ยนกันว่าเขาจะกำกับหนังตลาดที่ขายระดับอินเตอร์ (เช่น The Banquet) หรือไม่ก็ต้องทำหนังตลกสร้างรายได้ขายชาวจีนให้ก่อนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการอนุมัติงบประมาณให้ทำหนังที่เฝิงเสี่ยวกังอยากจะทำ

จนมาถึงเรื่อง “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” ที่เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมทั้งเงินรายได้และรางวัลระดับนานาชาติ แต่อุปสรรคก่อนหน้านี้ก็มีไม่น้อย เพราะเนื้อหาหนังเรื่องนี้มีส่วนพาดพิงระบบยุติธรรมของจีน หนังถูกยื้อเพื่อปรับทัศนคติก่อนออกฉายอยู่สองเดือน

สุดท้ายเนื้อหาที่ผู้สร้างและผู้กำกับหนังจีนในปัจจุบันไม่แตะก็ออกฉายได้อย่างน่าประหลาดใจ ว่าทำไม กบว.จีนที่ได้ชื่อว่ารักษาภาพลักษณ์ของประเทศชาติมากที่สุดประเทศหนึ่งจึงอนุญาตให้ออกฉาย ชาวจีนบางคนบอกว่านี่แสดงถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของจีนมีอยู่จริง แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าเฝิงเสี่ยวกังยังประนีประนอมและเชลียร์รัฐจีนมากเกินไป ไม่สะใจเท่าในนิยาย

ในวงการบันเทิงจีนมีคนกระทบกระเทียบว่า “เฝิงเสี่ยวกังเป็นผู้กำกับที่สวนทางกับจางอี้โหมว (ผู้กำกับหนังจีนระดับโลกที่กำกับ Red Sorghum, The Road Home, Hero หรือ The Great Wall)” เพราะจางอี้โหมวเริ่มต้นด้วยหนังรางวัลแล้วค่อยทิ้งอุดมการณ์ไปทำหนังตลาดอลังการ ส่วนเฝิงเสี่ยวกังเริ่มชีวิตผู้กำกับด้วยหนังตลาดแล้วค่อยมาโด่งดังด้วยหนังรางวัล

ใครชื่นชอบหนังจีนดูสนุกจิกกัด ไม่ชวนฝัน ไม่สร้างภาพ สะท้อนความเป็นจีนจี๊นจีน ขอแนะนำให้ไปดู (มีฉายอยู่ที่ Lido และ House RCA ในชื่อไทยว่า “อย่าคิดหลอกเจ้”)

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025