คลัง–ธปท. งัด 3 มาตรการคุมธุรกรรมทองออนไลน์ จ่อเก็บภาษีเฉพาะ สกัดบาทแข็ง
คลัง ธปท. และ ก.ล.ต. ชี้ชัดเทรดทองคำออนไลน์เป็นตัวเร่งบาทแข็ง เตรียมออกยาแรง เก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ-รายงานข้อมูล-คุมเพดานวงเงิน ย้ำไม่กระทบร้านทองทั่วไป-รายย่อย คาดมาตรการทั้งหมดชัดภายใน 2–3 สัปดาห์ของเดือนม.ค.69
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่าธุรกรรมทองคำออนไลน์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วเกินปัจจัยพื้นฐาน
- เตรียมออกมาตรการกำกับดูแล 3 ด้าน คือ 1) กำหนดให้ผู้ค้าทองออนไลน์ต้องรายงานข้อมูล 2) ศึกษาการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ และ 3) ให้อำนาจ ธปท. กำหนดเพดานวงเงินธุรกรรม
- มาตรการดังกล่าวจะมุ่งเป้าไปที่นักลงทุนรายใหญ่ที่ซื้อขายเพื่อเก็งกำไร และจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่ซื้อทองคำเพื่อการออมหรือเป็นเครื่องประดับ
กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงผลการหารือมาตรการดูแลค่าเงินบาท หลังพบการแข็งค่าที่รวดเร็วเกินปัจจัยพื้นฐาน
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า ธุรกรรมทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเข้ากำกับดูแล
“ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 9.4% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับนำของภูมิภาค โดยเฉพาะในเดือนนี้เพียงเดือนเดียวที่แข็งค่าขึ้นถึง 4.2% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จากการตรวจสอบพบว่า แรงขายดอลลาร์จากการซื้อขายทองคำมีสัดส่วนสูงถึง 45-62% ของแรงขายดอลลาร์ทั้งประเทศในบางช่วง” นายวิทัย กล่าว
ปัจจุบันธุรกรรมทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้ค้ารายใหญ่ 15 ราย และมีขนาดใหญ่มาก 2-3 ราย โดยในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 39% ของ GDP และคาดว่าจะเกิน 50% ในปีหน้า นอกจากนี้ มูลค่าการซื้อขายทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 65,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งสูงกว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่า 42,000 ล้านบาทต่อวัน และในวันที่ราคาทองผันผวน ปริมาณการเทรดเคยพุ่งสูงถึง 255,000 ล้านบาทต่อวัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพค่าเงินบาท
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ข้อสรุปที่จะดำเนินมาตรการ 3 ด้านเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ ได้แก่
1. มาตรการรายงานข้อมูล กำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายทองคำออนไลน์ ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากร เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์อื่น ๆ
2. มาตรการภาษี กรมสรรพากรจะศึกษาความเหมาะสมในการจัดเก็บ ภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการซื้อขายเก็งกำไรแต่ไม่มีการส่งมอบทองคำจริง
3. มาตรการกำกับโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินการแก้ประกาศกระทรวงการคลังเพื่อให้มีอำนาจเข้ากำกับดูแลธุรกิจทองคำ และพิจารณากำหนด เพดานวงเงินธุรกรรม สำหรับการเทรดที่ผิดปกติ เช่น การซื้อขายหมุนเวียนหลายรอบต่อวันในวงเงินที่สูงมาก
นายลวรณ กล่าวว่า จากทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว จะมี 2 มาตรการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสรรพากร และอีก 1 มาตรการอยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะเดียวกัน ยังได้พิจารณามาตรการในภาพรวมที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการนำเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐ เข้าประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา
"คาดว่า ประกาศกระทรวงเพื่อเปิดทางให้ ธปท. มีอำนาจเข้ากำกับดูแลธุรกิจซื้อขายทองคำ รวมถึงการพิจารณากำหนดเพดานวงเงินธุรกรรม คาดว่าทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์ของเดือนมกราคม 2569 โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริง) ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์" นายลวรณ กล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันว่ามาตรการนี้มุ่งเป้าไปที่ กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีการเทรดเก็งกำไรหมุนเวียนหลักร้อยล้านหรือพันล้านบาทต่อวันผ่านแอปพลิเคชัน ส่วนประชาชนที่ซื้อทองรูปพรรณหรือทองแท่งตามร้านทองปกติ เพื่อการออมหรือเป็นเครื่องประดับ จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ด้าน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า เพื่อแก้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ เหรียญ USDT ไม่ได้ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากปริมาณธุรกรรมเมื่อเทียบกับกระแสเงินไหลเข้าออก (FX Inflow) มีสัดส่วนเพียง 0.17% ถึง 1.22% เท่านั้น และการซื้อขายส่วนใหญ่ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินเฟียต (Fiat Currency) ในระดับที่จะส่งผลกระทบต่อค่าเงิน
นอกจากมาตรการทองคำแล้ว ธปท. ยังเตรียมเพิ่มความเข้มงวดให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบเอกสารแหล่งที่มาของเงินดอลลาร์ที่นำเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการนำเงินเข้ามาเพื่อเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวอีกด้วย


