เปิดโผกลุ่มหุ้นได้-เสียประโยชน์ เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4.5 ปี
ส่องหุ้นได้ประโยชน์ และได้รับผลกระทบเงินบาทจ่อหลุด 31 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่ามากสุดในรอบ 4.5 ปี นับตั้งแต่กลาง มิ.ย.64
KEY
POINTS
- เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4.5 ปี ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้าและสายการบิน และกลุ่มผู้นำเข้าวัตถุดิบ เนื่องจากต้นทุนลดลง
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบคือภาคการส่งออก เนื่องจากราคาสินค้าในรูปดอลลาร์จะสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
- หุ้นขนาดใหญ่อาจเป็นเป้าหมายของ Fund Flow จากต่างชาติที่กลับเข้ามาลงทุน หากเงินบาทยังคงแข็งค่า
ค่าเงินบาทวันนี้ (23 ธ.ค.2568) เปิดช่วงเช้าที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดของวันก่อนหน้า (22 ธ.ค.2568) ที่ระดับ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ ล่าสุด เวลา 15.38 น. อยู่ที่ระดับ 31.11 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากสุดนับตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.2564 หรือในรอบ 4.5 ปี
“พูน พานิชพิบูลย์” นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ประเมินว่า กรอบเงินบาทวันนี้จะอยู่ที่ระดับ 31.05-31.20 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งธีม Japanese Yen Debasement ในช่วงนี้ รวมทั้งสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ายึดเรือน้ำมันของเวเนซุเอลา ประกอบกับสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังคงร้อนแรงอยู่ แม้ว่าจะมีการพยายามเจรจาเพื่อยุติสงคราม
จากการแข็ค่าของเงินบาทดังกล่าว ทำให้ตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.2568 (MTD) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่า 3.26% และตั้งแต่ต้นปี 2568 (YTD) แข็งค่าเร็วและแรง 9%
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยที่หลายภาคส่วนจับตามองว่าส่งผลต่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นห่วงและไม่ได้นิ่งนอนใจในประเด็นนี้ ได้มีการสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบเอกสารในธุรกรรมการขายเงินตราต่างประเทศเพื่อแลกซื้อเงินบาทของธุรกิจทองคำอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการขอให้ออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อให้อำนาจ ธปท. ในการเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเงินตราต่างประเทศจากผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
โดยวานนี้ (22 ธ.ค.2568) ได้เชิญสมาคมผู้ค้าทองเข้ามาประชุมและชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำต่อ ธปท. เพื่อประกอบการพิจารณาแนวทางลดผลกระทบของการซื้อขายทองคำต่อค่าเงิน โดยทางสมาคมฯ รับไปหารือและจะกลับมาแจ้งต่อ ธปท. หากมีข้อจำกัดใด ภายในสัปดาห์นี้
ล่าสุด วันนี้ (23 ธ.ค.2568) กระทรวงการคลัง ธปท. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมแถลงข่าว “ค่าเงินบาท” ซึ่งพบว่า “ธุรกรรมทองคำบนแพลตฟอร์มออนไลน์” คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดแรงขายดอลลาร์เพื่อซื้อบาทในปริมาณมหาศาล
โดยปริมาณการซื้อขายทองคำในไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2567 มีสัดส่วนสูงถึง 39% ของ GDP และคาดว่าจะเกิน 50% ในปี 2568 ในบางช่วงเวลา แรงขายดอลลาร์จากธุรกรรมทองคำมีสัดส่วนสูงถึง 45-62% ของแรงขายดอลลาร์ทั้งประเทศ
ดังนั้น เตรียมออก 3 มาตรการเชิงรุก เพื่อรับมือกับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าที่มีสาเหตุหลักมาจากปริมาณธุรกรรมทองคำออนไลน์ที่สูงผิดปกติ ได้แก่
1.กำหนดให้แพลตฟอร์มทองคำรายงานข้อมูลธุรกรรม
2.ศึกษาการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
3.กำกับดูแลปริมาณการทำธุรกรรมทองคำให้มีความเหมาะสม เช่น การกำหนดเพดานวงเงินในการซื้อขายทองคำ
ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน เช่น ภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ และหุ้นได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าด้วย
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือน (MTD) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่า 3.26% ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกับปัจจัยพื้นฐานบางกลไก อาทิ DOLLAR INDEX อ่อนค่าลงเพียง 1.20%, FUND FLOW ต่างชาติไหลออกตราสารหนี้กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และค่าเงินแข็งกว่าเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ ทิ้งห่างอันดับ 2 ในเอเซีย อย่าง มาเลเซีย ที่แข็งค่าเพียง 1.14% เท่านั้น
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า
- โรงไฟฟ้า/สายการบิน: GULF, BGRIM, EGCO, PTT, AAV, BA (มีหนี้ต่างประเทศเยอะ จ่ายหนี้ถูกลง)
- นำเข้า: TFG, TVO (ต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบถูกลง)
- เป้าหมาย FUND FLOW: KBANK, SCB, SCC, CPALL, ADVANC (ถ้าบาทแข็ง ต่างชาติอาจสนใจกลับมาซื้อหุ้นใหญ่)


