ปัญหาว่าด้วยกาลามสูตร
กาลามสูตร หรือเกสปุตตสูตร เป็นพระสูตรในมหาวรรคที่ 2 ทุติยปัณณาสก์ ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
กาลามสูตร หรือเกสปุตตสูตร เป็นพระสูตรในมหาวรรคที่ 2 ทุติยปัณณาสก์ ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย เป็นพระสูตรที่เรารู้จักกันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมอบแนวทางการพิจารณาไตร่ตรองความเชื่อหรือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ 10 ประการ ซึ่งปัจจุบันนี้ นำมาใช้เป็นเครื่องยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สามารถตรวจสอบและพิจารณ์ได้ มีกระบวนการทดสอบและไตร่ตรองคล้ายคลึงกับการตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์
ในที่นี่จะไม่ขอกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ แต่จะกล่าวถึงช่องโหว่ที่เกิดขึ้นจากการหยิบพระสูตรนี้มาใช้อย่างผิดบริบทและใช้อย่างหัวมังกุท้ายมังกร
ตามปกติแล้ว การอ้างกาลามสูตรจะหยิบมาเฉพาะในส่วน “10 ข้อตรวจกังขา” อันเป็นแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงมอบไว้เป็นบรรทัดฐาน แก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม ดังนี้
1.มา อนุสฺสเวน ได้แก่ อย่าเชื่อถือ แม้โดยถ้อยคำตามที่ได้ฟังมา
2.มา ปรมฺปราย ได้แก่ อย่าเชื่อถือ แม้โดยถ้อยคำที่นำสืบๆ กันมา
3.มา อิติกิริยาย ได้แก่ อย่าเชื่อถือว่า ได้ยินว่าข้อนี้เป็นอย่างนี้
4.มา ปิฏกสมฺปทาเนน ได้แก่ อย่าเชื่อถือ ข้อความนี้ สมกับตำราของเราบ้าง
5.มา ตกฺกเหตุ ได้แก่ อย่าเชื่อถือ แม้โดยการถือเอาตามที่ตรึกไว้
6.มา นยเหตุ ได้แก่ อย่าเชื่อถือ แม้โดยการถือเอาตามนัย
7.มา อาการปริวิตกฺเกน ได้แก่ อย่าเชื่อถือ แม้โดยการตรึกตามเหตุการณ์อย่างนี้ว่า เหตุนี้ดี
8.มา ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ได้แก่ อย่าเชื่อถือว่า ข้อนี้สมกับความเห็นที่พวกเราพินิจพิจารณา ทนต่อการพิสูจน์ จึงถือเอา
9.มา ภพฺพรูปตาย ได้แก่ อย่าเชื่อถือ โดยคิดว่า ภิกษุนี้เหมาะสม ควรเชื่อถือถ้อยคำของภิกษุนี้ได้
10.มา สมโณ โน ครุ ได้แก่ อย่าเชื่อถือว่า พระสมณะรูปนี้เป็นครูของเรา ควรเชื่อถือถ้อยคำของพระสมณะรูปนี้ได้
หากพิจารณาโดยสามัญสำนึกแล้วจะพบว่า อย่าว่าแต่ลัทธิต่างๆ เลย แม้แต่พุทธศาสนาก็จะไม่รอดจากบ่วงกังขาทั้ง 10 เช่นกัน เพราะทั้ง 10 ข้อล้วนแต่กระตุ้นให้เกิดกังขาไม่สิ้นสุด และถึงที่สุดอะไรๆ ก็ล้วนเชื่อถือไม่ได้ หากปฏิบัติตามทั้ง 10 ข้อ คนผู้นั้นไม่เพียงแต่จะกลายเป็นพวกลัทธิ Scepticism ที่ได้แต่ตั้งข้อกังขาไปทั่วเท่านั้น แต่ยังจะต้องวิ่งไล่เงาตัวเองไปชั่วกัลปาวสาน
นี่คือปัญหาของการอ้างกาลามสูตร เพราะที่อ้างมาเป็นเพียงแค่ส่วนแรกเท่านั้น เพราะยังมีส่วนต่อขยายที่ถูกละเลยไปอย่างไม่น่าเชื่อ
10 ข้อตรวจกังขาข้างต้นนั้น พุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อยุติความสับสนของชาวกาลามะ หลังจากถูกปั่นหัวโดยเจ้าลัทธิต่างๆ ที่อ้างตัวว่าดีแล้วใส่ไคล้ผู้อื่น ชาวกาลามะจึงฟุ้งซ่านไม่รู้จะเชื่อใคร ทั้ง 10 ข้อมีไว้เพื่อปิดทางความฟุ้งซ่านทั้ง 10 ทิศ (หรือ 10 ช่องทาง) เพื่อให้ชาวกาลามะกลับมาเพ่งที่ตัวเอง ให้ตัวเองเป็นผู้พิพากษา แต่ผู้พิพากษานั้นจะตัดสินตามอำเภอใจมิได้ จะต้องมีบรรทัดฐานการตัดสิน พระพุทธองค์จึงทรงมอบบรรทัดฐานให้ในช่วงที่ 2 ของพระสูตร
บรรทัดฐานนั้นก็คือ ใช้โลภ โกรธ หลง เป็นตัววัด สิ่งใดเจือด้วยอกุศลทั้ง 3 นี้ สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่ควรเชื่อถือ สิ่งใดไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นประโยชน์พึงเชื่อถือ โดยทรงใช้วิธีซักถามชาวกาลามะเป็นข้อๆ ว่า อย่างนี้ๆ ดีหรือไม่อย่างไร เมื่อทรงเห็นชาวกาลามะรับว่า การไม่เบียดเบียนกันอย่างนี้ๆ การไม่ทำตามอกุศลมูลทั้ง 3 เป็นสิ่งประเสริฐ จึงทรงขยายความสืบต่อไป
จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแจกแจงว่า บุคคลที่ไม่มีโลภ โกรธ หลงนั้น ย่อมไม่ประพฤติละเมิดศีล 5 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ (สุราเมรัยนั้นมิได้ทรงกล่าวถึง แต่เราพึงเข้าใจว่าเป็นมูลเหตุแห่งการสิ้นสติและก่ออันตรายทั้งปวงได้) บุคคลที่ไม่ประพฤติเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าไม่ใช่คนเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่น และตัวเองจะเป็นสุขด้วย
จึงสรุปได้ว่า 10 ข้อขจัดกังขานั้นมีจุดประสงค์ให้เราเพ่งมาที่ตัวเอง เมื่อจดจ่อกับตัวเองแล้ว มีสติพอแล้ว ไม่คลอนแคลนไปตามคติผู้อื่นแล้ว ให้ใช้ศีล 5 เป็นบรรทัดฐาน หากพบว่า คำสอนนั้นๆ คตินั้น ไม่ตรงกับศีล 5 ก็อย่าพึงเชื่อ อย่าน้อมรับ เพราะจะเป็นหนทางนำไปสู่อันตราย
อันว่าการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การคบชู้ การพูดเท็จ มิใช่หลักของศาสนาพุทธเท่านั้น ผูัใดละเมิดก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น ไม่ต้องรอชาตินี้ชาติหน้า แต่ถ้าอยากจะให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ให้มีพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธ เพราะเป็นหลักสากล เมตตาคือความรัก กรุณาคือความสงสาร มุทิตา คือความยินดีที่เขาได้ดี ไม่มีริษยา ส่วนอุเบกขาคือการมีสติ ทำใจหนักแน่นไม่หวั่นไหวในอารมณ์ และเป็นเครื่องประคองไม่ให้รักมาก สงสารมาก และยินดีมากเกินไป
ทั้งศีล 5 และพรหมวิหาร 4 นี้ พระพุทธองค์ทรงให้ไว้เป็นบรรทัดฐาน ต่อจาก 10 ข้อตรวจกังขา หากมีแต่ตรวจสอบกังขาไม่มีศีล ไม่มีธรรม ก็จะหลงสงสัยไม่มีสิ้นสุดอยู่เรื่อยไป
มีคำถามว่า ถ้าจะถือ 10 ข้ออย่างเดียวได้หรือไม่? คำตอบคือก็ได้ แต่ท่านก็จะเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง หรือขังตัวเองในวงกตแห่งหยักสมอง
พระพุทธองค์ก็ทรงล่วงรู้ว่า คนที่มีกังขามากนั้นจะสงสัยไม่สิ้น อีกทั้งยังมีจำพวกเห็นว่าพระองค์อาจดึงให้เขาเข้าศาสนาด้วยวิธีการนี้ จึงทรงเสริมให้ชัดเจนอีกว่า การปฏิบัติศีล 5 และพรหมวิหาร 4 นั้น หากเชื่อถือในผลก็จะได้รับผลในโลกหน้า สุ่สุคติภูมิ หรือเป็นพระอริยะ
แต่หากไม่เชื่อนรกสวรรค์ การถือศีล 5 และพรหมวิหาร 4 ก็ยังนำสุขมาให้ชีวิต เรียกได้ว่า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังพระองค์ตรัสว่า
... ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ 4 ประการในปัจจุบันว่า (ต่อไปนี้สรุปพระพุทธพจน์ให้กระชับ)
1.ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็นเครื่องให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ (ถ้าเชื่อโลกหน้าและผลกรรม การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้นอื่น จะเป็นปัจจัยให้ไปสู่สุคติ)
2.ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบันนี้ (ถึงไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าและผลกรรม แต่ถ้าไม่เบียดเบียนตัวเองหรือใครๆ ก็เป็นสุขแล้วในปัจจุบัน)
3.ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า (ถ้าเราไม่ได้ทำอกุศลกรรมอันใด คือกระทำด้วยโลภ โกรธ หลง ถึงไม่เชื่อเรื่องมรรคผล หรือโลกหน้า ชีวิตก็ยังเป็นสุขได้)
4.ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็นตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน (ถ้าเราประกอบกุศลอันใด ถึงไม่เชื่อโลกหน้าและผลกรรม ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นที่ควรแก่การสรรเสริญ)
แล้วทรงตรัสสรุปว่า “ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่มีเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ 4 ประการนี้แลในปัจจุบันฯ” หลังจากได้ไตร่ตรองแล้ว ชาวกาลามะจึงเข้าใจ ประกาศเป็นพุทธมามกะตลอดชีวิต
สรุปว่า หากจะอ้าง 10 ข้อตรวจกังขาของกาลามสูตร พึงพิจารณาพ่วงท้ายด้วยว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานั้น สอดคล้องกับศีล 5 และพรหมวิหาร 4 หรือไม่ด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหามาก ถึงขนาดส่งผลให้เป็นคนขวางโลก หากว่ากันในทางพุทธก็คือขวางมรรคขวางผลกันเลยทีเดียว
กาลามสูตรจึงมิใช่หลักการตรวจสอบในเชิงประจักษ์ แต่เป็นหลักการตรวจสอบในเชิงจริยธรรม หวังประโยชน์สุขทางใจ มากกว่าประโยชน์ทางวัตถุ


