ผุดพื้นที่นำร่องเขตวัฒนธรรมชาวเล อีกโจทย์ปฏิรูปจากฝั่งทะเลอันดามัน
โจทย์ในการปฏิรูปประเทศที่ร้อนร้ายอันดับต้นๆหนีไม่พ้นเรื่องปัญหาที่ทำกินของชาวบ้าน ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำคนรวยมีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นไร่ส่วนคนจนที่ดินสักนิ้วเดียวก็ยังหามาได้อย่างยากเย็น...
โจทย์ในการปฏิรูปประเทศที่ร้อนร้ายอันดับต้นๆหนีไม่พ้นเรื่องปัญหาที่ทำกินของชาวบ้าน ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำคนรวยมีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นไร่ส่วนคนจนที่ดินสักนิ้วเดียวก็ยังหามาได้อย่างยากเย็น...
โดย...วิทยา ปะระมะ
โจทย์ในการปฏิรูปประเทศมีหลากหลายประเด็น แต่ที่ร้อนร้ายอันดับต้นๆหนีไม่พ้นเรื่องปัญหาที่ทำกินของชาวบ้าน ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำคนรวยมีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นไร่ส่วนคนจนที่ดินสักกะผีกนิ้วเดียวก็ยังหามาได้อย่างยากเย็น
อีกประเด็นคือเรื่องการรุกล้ำที่ดินทั้งนายทุนอาศัยช่องโหว่ทางกฏหมายร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐฉ้อฉลออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ทำกินของชาวนาคนเล็กคนน้อยลามไปจนถึงที่ดินสุสานชาวเลก็ยังไม่เว้น รวมถึงการรุกล้ำโดยรัฐจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินชาวบ้าน
เมื่อวันที่ 20-22 ส.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนหลายสำนักลงพื้นที่สำรวจปัญหาที่ดินทำกินของชาวบ้านในจังหวัดพังงาและภูเก็ตพบปัญหาสารพัด เช่น อ.คุระบุรี จ.พังงา เพียงอำเภอเดียวกลับมีอาณาเขตติดต่อกับเขตสงวนต่างๆ มากมายส่งผลให้แทบทุกหมู่บ้านมีปัญหาถูกเขตอุทยานทับที่ทำกินกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐมานานนับสิบปี
หรือที่ชุมชนทับตะวัน อ.ตะกั่วป่า ภายหลังจากเหจุกาณ์สึนามีมีนายทุนเข้ามาฮุบที่สาธารณะซึ่งเป็นแหล่งหากินและจอดเรือของชาวมอแกนมีการยิงปืนขู่และปล่อยหมาไล่กัดชาวบ้าน ชาวเลที่บ้านทุ่งหว้าก็ประสบปัญหาถูกบุกรุกที่ดินสุสาน
ส่วนที่ภูเก็ตที่ชุมชนชาวอูรักลาโว้ยบนหาดราไวย์ก็ประกับทั้งปัญหาที่ดินถูกนายทุนออกเอกสารสิทธิ์ทับ จะออกทะเลก็ถูกจำกัดพื้นที่หากินในเขตอุทยานแห่งชาติ น้ำไฟไม่มีใช้จะถ่ายทุกข์ต้องเข้าป่าละเมาะหรือถ่ายลงทะเล (ติดตามอ่านได้ที่http://www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ทั่วไทยทูเดย์/ปลายแหลมทอง/46788)
หรือที่ชุมชนเกาะสิเหร่ก็ถูกนายทุนอ้างสิทธิ์กั้นทางเข้าสุสานจะเข้าจะออกต้องขอกุญแจผ่านเป็นครั้งๆ อีกทั้งมีความพยายามของนายทุนทุ่มเงิน 10 ล้านให้ย้ายสุสานไว้ที่อื่น
ล่าสุดวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมาโครงการสื่อสารสุขภาวะเพื่อคนชายขอบ จัดเสวนาโต๊ะกลมตอบคำถามและชี้แจงประเด็นข่าวกรณีปัญหาของชาวเลและการประกาศเขตอุทยานทับที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่อันดามัน
โดยมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ รัตนมณี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นางปรีดา คงแป้น กรรมการสมัชชาปฏิรูปและนางนฤมล อรุโณทัย ผู้เชี่ยวชาญด้านชาวเลจากสถาบันยวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมเสวนา
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับชาวเลนั้น นางนฤมลตั้งข้อสังเกตว่าเดิมชุมชนชาวเลสามารถอาศัยบริเวณแนวชายฝั่งทะเลโดยไม่มีปัญหาเรื่องที่ทำกิน แต่หลังจากการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวส่งผลให้ชุมชนชาวเลมากกว่า 50% มีปัญหาในเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย
“วิถีชีวิตของชาวเลคือเคลื่อนย้ายไปมาและกลัวราชการจึงไม่เคยต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน จนเกิดหุการณ์สึนามิที่มีการรื้อฟื้นการครอบครองสิทธิทางที่ดินทำให้เป็นการเปิดแผลของปัญหาให้เห็นชัดขึ้น ชุมชนชาวเลกลายเป็นผู้บุกรุกเพราะไม่มีโฉนด บางพื้นที่เป็นที่สุสานของบรรพบุรุษและยังเกิดปัญหาการใช้ทรัพยากรเพื่อทำมาหากินในพื้นที่”
นางนฤมลเสนอว่าการฟื้นฟูวิถีวัฒนธรรมชาวเลต้องสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยโดยการออกโฉนดชุมชนให้ และขอให้มีการจัดทำเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษสำหรับกลุ่มชาวเลเพื่อให้ประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ได้ ที่สำคัญโมเดลนี้สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาให้ชนพื้นเมืองอื่นๆได้ด้วย
ด้านนางปรีดา เสนอว่าแม้ครม.จะมีการอนุมัติให้จัดตั้งเขตวัฒนธรรมพิเศษชาวเลแล้ว แต่เกรงว่าจะเป็นเพียงตัวหนังสือเฉยๆ ดังนั้นขอเสนอให้ทำพื้นที่นำร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษชาวเลเป็นตัวอย่างเสียก่อน และด้วยความที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หากมติครม.ไม่มีอำนาจเพียงพอก็อาจต้องจัดทำเป็นกฎหมายขึ้นมาด้วย
นายสาทิตย์กล่าวว่าปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาวเลหรือเรื่องเขตอุทยานทับที่ทำกินล้วนมีความเชื่อมโยงกัน แบ่งเป็นเรื่องความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย เรื่องคุณภาพชีวิต ที่ทำกินและเรื่องสัญชาติ
หลายกรณีก็ชัดเจนว่าต้องอาศัยการผลักดันทางนโยบายอย่างมากเช่นที่กรณีของชุมชนราไวย์ ที่แหลมป้อมจ.พังงา หรือที่อ.คุระบุรี
“แนวทางแก้ไขปัญหาตอนนี้คือในระยะสั้นเราพยายามจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก่อน อย่างที่ราไวย์ไม่สามารถต่อท่อปะปาและพาดสายไฟผ่านที่โฉนดเอกชนได้ เราก็ต่อน้ำปะปาเข้าให้ใกล้ชุมชนที่สุดให้ชาวบ้านมีน้ำสะอาดใช้ 2 จุด ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวคือต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์ว่าใครอยู่ก่อนอยู่หลัง ถ้าชาวชุมชนอยู่มาก่อนแล้วเอกชนใช้หลักฐานอะไรในการขอออกโฉนด”
ส่วนเรื่องประกาศนำร่องเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษชาวเลก็เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาการดำเนินการอาจล่าช้าไปบ้าง อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงวัฒนธรรมประชุมร่วมกันและรีบดำเนินการโดยเร็ว
“การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลต้องเปลี่ยนกรอบความคิดใหม่ต้องทำความเข้าใจในวิถีชีวิตดั้งเดิมของเขา จะไปใช้วิธีปฏิบัติเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ การนำสิ่งใหม่ๆเข้าไปในชุมชนต้องไม่กระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยก็จะเร่งออกโฉนดชุมชน เฉพาะในพังงากับภูเก็ตก็มีประมาณ 14-15 แห่ง ถ้าออกโฉนดชุมชนเสร็จก็สามารถประกาศเป็นพื้นที่นำร่องได้เลย”
ส่วนเรื่องอุทยานประกาศเขตทับที่ทำกินชาวบ้านนั้น ปัจจุบันมีคนเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ของรัฐกว่า 10 ล้านคน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ ดังนั้นการจัดทำโฉนดชุมชนเป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งเพราะที่ดินยังเป็นของรัฐแต่ชาวบ้านมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ด้านนายสุวิทย์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาอุทยานทับที่ทำกินชาวบ้านว่าเป็นเรื่องที่ทั้งชาวบ้านและรัฐไม่ยอมรับข้อมูลของกันและกัน ดังนั้นทางออกคือต้องพิสูจน์ด้วยการตีความภาพถ่ายทางอากาศว่าพื้นที่ไหนที่มีชุมชนอยู่มาก่อนการประกาศเขตอุทยาน ที่ไหนมาอยู่ทีหลัง โดยขณะนี้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการจัดทำแผนที่ 1:4,000 ทั่วประเทศ เมื่อจัดทำเสร็จก็จะทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ถ้าเป็นชุมชนที่อยู่มาก่อนเราก็ไม่ไปยุ่งอยู่แล้ว แต่ถ้ามาอยู่ในภายหลังก็ต้องมีกติกาในการอยู่ร่วมกันคือไม่ขยายพื้นที่เพิ่ม ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้กวดขันจับกุมชาวบ้านอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ อย่างการทำกินเพื่อเลี้ยงปากท้องเราไม่ยุ่ง ชาวเลแม้จะประกาศเขตอุทยานก็ยังหาปลาได้ แต่ถ้าจับปลาขายเป็นคันรถเราก็ต้องจับ หรือจะตัดไม้ไปใช้ประโยชน์ต่างๆเราก็ไม่ให้ตัดเพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ถ้าที่นี่ทำได้ที่อื่นก็จะเอาไปอ้างในการตัดไม้เหมือนกัน”
รองอธิบดีกรมอุทยานฯยังกล่าวอีกว่านโยบายของกรมไม่ให้หัวหน้าอุทยานฯรังแกหรือกลั่นแกล้งชาวบ้าน ดังนั้นหากพบว่ามีหัวหน้าอุทยานฯที่ไหนกระทำเช่นนี้ก็จะมีการสืบสวนและย้ายออกจากพื้นที่
…แม้นโยบายกรมอุทยานฯจะฟังดูดี แต่ว่างๆต้องให้รองอธิบดีปลอมตัวลงพื้นที่ไปคุยกับชาวบ้านดู แล้วจะรู้ว่านโยบายกับการปฏิบัติต่างกันอย่างไร...


