posttoday

วจนะขงจื๊อในสยาม

26 มีนาคม 2560

เมื่อพูดถึงวรรณกรรมจีนแปลไทยแล้ว เรื่องแรกที่เราจะนึกถึงสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)

โดย...กรกิจ ดิษฐาน

เมื่อพูดถึงวรรณกรรมจีนแปลไทยแล้ว เรื่องแรกที่เราจะนึกถึงสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นอกจากนั้นก็ยังมีนิยายอิงพงศาวดารจีนอีกมากมาย เช่น ไซ่ฮั่น เลียดก๊ก ไปจนถึงวรรณกรรมชั้นเอกอย่างไซอิ๋ว และซ้องกั๋ง นอกจากวรรณกรรมประเภทเรื่องแต่งแล้ว น้อยคนจะทราบว่ามีการแปลตำราสำคัญของขงจื๊อมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว เมื่อปี 2369 ต่อมานำมาพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป เมื่อปี 2479

หนังสือที่แปลมาจากจีนนี้ กรมศิลปากรในขณะนั้นเรียกว่า “หนังสือซี้จือ หมวด ลุ่นงื้อ” หนังสือซี้จือ ก็คือ กลุ่มตำราซื่อซู (&>2235;&>0070;) หรือตำรา 4 เล่มที่นักศึกษาจีนโบราณต้องร่ำเรียน เป็นมาตรฐานที่ขงจื๊อและสานุศิษย์ได้ตั้งไว้ ประกอบไปด้วยตำรามหาวิทยา หรือ ต้าเสวีย (&>2823;&>3416;) ตำรามัธยมวิถี หรือ จงยง (&>0013;&>4248;) ตำราคติพจน์ หรือ หลุนอวี่ (&&5542;&&5486;) และตำราคำสอนเมิ่งจื่อ (&>3391;&>3376;)

“หมวดลุ่นงื้อ” ที่คำนำของกรมศิลปากรระบุไว้ คือตำราวจนศาสตร์ หรือ หลุนอวี่ เพียงแต่คำว่า ลุ่นงื้อ เป็นสำเนียงฮกเกี้ยน อันเป็นสำเนียงจีนที่นิยมในสยามแต่โบราณ ส่วนซี้จือก็คือสำเนียงฮกเกี้ยนของคำว่าซื่อซูนั่นเอง

ลุ่นงื้อ แปลสมัยรัชกาลที่ 3 พิมพ์สมัยรัชกาลที่ 8 มีเนื้อหาส่วนหนึ่ง ดังนี้

“วันเสาร์ เดือนห้า ขึ้นเก้าค่ำ จุลศักราช ๑๑๘๘ ปีจอ อัฐศก อาตมภาพ พระอมรโมลี สถิต ณ วัดราชบุรณพระอารามหลวง แปลฮักยี่ฉะบับจีนออกเป็นไทยได้ความว่า”

“ขงจู๊ผู้เป็นนักปราชญ์ในเมืองจีนกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะรักเรียนรู้ในหนังสือขนบธรรมเนียมทั้งปวง พึงอุตสาหะเรียนทุกเวลา ถ้าหมั่นอยู่ฉะนี้แล้ว เหตุใดจะไม่รู้ แล้วก็เพียรเล่าเรียนมาแต่ถิ่นฐานบ้านไกล เหตุใดจึ่งไม่สนุก อนึ่ง ถ้าคนโง่มาติเตียนก็อย่าโกรธ เพราะมันไม่รู้ว่าคนดี และมันติเตียนนั้น ใช่ตนจะกลับเป็นคนชั่วก็หาไม่”

ความตอนนี้ พระอมรโมลี ยกมาจากตำราหลุนหวี่ (&&5542;&&5486;) บรรพเสวียเอ๋อร์ (&>3416;&&2780;) ซึ่งว่าด้วยคุณแห่งการศึกษาเล่าเรียน ตำราหลุนหวี่นี้เป็นการรวบรวมวจนะและคติพจน์ของขงจื๊อ (ขงจู๊) เป็นตำราภาคบังคับที่นักศึกษา/บัณฑิตจีนจะมิเรียนมิได้ ส่วนคำว่า “ฮักยี่” ที่ท่านบอกว่าแปลมาจากภาษาจีนนั้น ที่แท้คือ บรรพเสวียเอ๋อร์นั่นเอง คำว่าฮักยี่ เป็นสำเนียงฮกเกี้ยนของคำว่า เสวียเอ๋อร์ ในภาษาจีนกลาง ส่วนตอนที่ยกมานี้เป็นบทแรกของบรรพเสวียเอ๋อร์ และบทแรกของหลุนหวี่ทั้งหมด เป็นบทที่นักศึกษาจีนวิทยาล้วนรู้จักกันดี มีเนื้อหาภาษาจีนดังนี้

&>3376;&>6352;&O5306;&<2300;&>3416;&&2780;&>6178;&&2722;&>0043;&O5292;&<9981;&>0134;&&5498;&>0046;&O5311;&>6377;&>6379;&&3258;&&6960;&>6041;&>0358;&O5292;&<9981;&>0134;&>7138;&>0046;&O5311;&>0154;&<9981;&&0693;&&2780;&<9981;&>4909;&O5292;&<9981;&>0134;&>1531;&>3376;&>0046;&O5311;

อย่างไรก็ตาม พระอมรโมลี แปลเอาความเป็นหลัก หากจะให้ตรงกับความเดิม ควรจะได้ดังนี้

“อาจารย์กล่าวว่า เล่าเรียนสม่ำเสมอหมั่นทบทวน มิน่ารื่นรมย์หรือ? มีสหายจากแดนไกลมา มิน่าปรีดาหรือ? แม้นมิมีผู้ล่วงรู้ แต่มิหวั่นไหว นี่มิใช่วิญญูชนดอกหรือ?”

บทต่อมาผู้แปลก็เสริมความเข้าไปอีก แต่ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเดิมในภาษาจีน ฉบับของพระอมรโมลี มีดังนี้

“อิวจู๊เป็นศิษย์ขงจู๊จึ่งว่า อันเกิดมาเป็นคนให้มีกตัญญู ให้รู้จักเด็กผู้ใหญ่ อย่าทำให้เกินผู้ใหญ่ ถ้าคนใดเรียนรู้จริงๆ แล้ว ที่จะทำความชั่วนั้นน้อย เพราะไม่เรียนรู้จึ่งทำความชั่วมาก อนึ่ง มีคำปราชญ์ว่า ให้อุตส่าห์เรียนรู้ไปเถิด สติปัญญาก็เกิดเพราะเล่าเรียน อาจคิดการงานทั้งปวงให้สำเร็จได้ และให้มีกตัญญูรู้จักผู้ใหญ่ ความชอบทั้งนี้ถ้ามีในตัวแล้ว จะกลับไปเป็นของผู้ใด ก็จะได้แก่ตัวเอง”

ส่วนต้นฉบับภาษาจีนว่า

&>6377;&>3376;&>6352;&O5306;&<2300;&>0854;&>8858;&>0154;&>0063;&>3389;&>4351;&O5292;&&2780;&>2909;&>9359;&<9978;&&2773;&O5292;&&9854;&&0691;&O5307;&<9981;&>2909;&>9359;&<9978;&O5292;&&2780;&>2909;&>0316;&>0098;&&2773;&O5292;&>6410;&>0043;&>6377;&>0063;&<2290;&>1531;&>3376;&>1209;&>6412;&O5292;&>6412;&&1435;&&2780;&&6947;&>9983;&<2290;&>3389;&>4351;&>0063;&&2773;&O5292;&>0854;&>8858;&>0161;&>0043;&>6412;&&3287;&O5281;&<2301;

ผมขอแปลว่า

โย๋วจื่อว่า มีบางคนแม้กตัญญูรักพี่น้อง แต่มักขัดใจผู้อาวุโสกว่า ไม่มีผู้ใดดอกที่ไม่ชอบขัดใจผู้หลักผู้ใหญ่แต่กลับชอบสร้างความสับสนวุ่นวาย วิญญูชนยึดมั่นในมูลฐาน แล้วการณ์ใดๆ ก็จักลุล่วงตามครรลอง นอบน้อมในหลักกตัญญูแลความรักพี่น้อง มิใช่หลักมูลฐานของมนุษยธรรมหรือ?

อิวจู๊ หรือ โย๋วจื่อ ผู้กล่าวคำนี้ เป็นศิษย์คนสำคัญของขงจื๊อ มีชื่อจริงว่า โย๋วรั่ว เป็นชาวแคว้นหลู่เกิดเมื่อ 518 ปีก่อนคริสตกาล เสียชีวิตเมื่อ 458 ปีก่อนคริสตกาล

อนึ่ง คำว่า จื่อ (&>3376;) ที่ปรากฏในตำรานี้ หมายถึงขงจื๊อ และยังหมายถึงนักปราชญ์ราชเมธี ในภาษาปัจจุบันคำว่าจื่อ แปลว่า ลูก เช่นลูกชาย แต่ในสมัยโบราณ ปราชญ์จะแทนตัวเองว่า “ลูก” เมื่อกราบทูลกับเจ้าแผ่นดิน ผมคิดว่าเพราะตามคติจีน เจ้าแผ่นดินทรงมีสถานะเป็นโอรสสวรรค์ ส่วนนักปราชญ์เป็นลูกแผ่นดิน

คำสอนของขงจื๊อมุ่งเน้นกตัญญุตาธรรม (&>3389;) กับมนุษยธรรม (&>0161;) เป็นสำคัญ หากไม่มีทั้งสองประการอย่าได้เรียกตัวเองเป็นวิญญูชน

ขอปิดท้ายด้วยนิยามความกตัญญูของขงจื๊อจากฉบับแปลของพระอมรโมลี ดังนี้

“บ้งบูเป็ก บุตรเบ้งอิจู๊ ถามขงจู๊ว่า กตัญญูนั้นอย่างไร ขงจู๊จึ่งว่า อันบิดามารดา เมื่อบุตรเจ็บไข้ก็ให้เป็นทุกข์นัก ปรารถนาแต่จะให้บุตรหาย ถ้าบุตรผู้ใด เมื่อบิดามารดาเจ็บก็ให้เป็นทุกข์เหมีอนฉันนั้นนัาง จึ่งจะว่ามีกตัญญู”

หมายเหตุ ภาพประกอบคือหนังสือแปลสุภาษิตขงจู๊กับเรื่องนางเคงเกียงสอนบุตร เมื่อปี 2479 กับตำราหลุนอวี่ บรรพเสวียเอ๋อร์ พิมพ์สมัยราชวงศ์ซ่ง

ข่าวล่าสุด

เส้นทาง “เถ้าแก่ส้ม” ร้อยล้าน ปั้นโชกุนเบตง–สายน้ำผึ้งฝางดังทั่วประเทศ