Inka Cola... ที่แอนดีส
ปลายยุค’80 FBI ประเมินว่า Pablo Escobar มีรายได้วันละ 5 แสนเหรียญสหรัฐ และ 80% ของโคเคนนำเข้าในสหรัฐ
โดย...ม.ล.อัจฉราพร ณ สงขลา
ปลายยุค’80 FBI ประเมินว่า Pablo Escobar มีรายได้วันละ 5 แสนเหรียญสหรัฐ และ 80% ของโคเคนนำเข้าในสหรัฐเป็นฝีมือของเขา นี่คือเจ้าพ่อยาเสพติดตัวจริง
เรื่องยิ่งดังกระหึ่มโลกเมื่อช่วง ค.ศ. 1987 นิตยสาร Forbs จัดให้ Pablo Escobar เป็น 1 ใน 10 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
เขาเป็นพ่อพระที่โอบอ้อมอารี บางคนเรียกเขาว่าเป็นโรบินฮู้ด จากการใช้เงินค้าโคเคนไปทำการกุศล มีคนรักมากมาย
การหว่านเงินได้ซื้อใจทั้งคนจนและเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ Pablo Escobar มีเกราะกำบังหนาแน่น
แต่เบื้องหลังการเป็นพ่อพระนั้นเขาสังหารคนที่เป็นเสี้ยนหนามอย่างอำมหิตไปนับพันคน
ในที่สุด Pablo Escobar ก็วกมาเข้าในเส้นทางการเมือง
แต่ธุรกิจโคเคนก็สกปรกเกินไปที่จะให้คนเรียกเขาว่าเป็นคนดีได้ ทางการโคลอมเบียก็จัดการเขาได้ใน ค.ศ. 1993
เรื่อง Pablo Escobar จบไปนานแล้วค่ะ แต่วันนี้หากใครไปอเมริกาใต้ก็อาจมีคนเล่าเรื่องเขาให้ฟังได้ละเอียดกว่านี้
สำหรับผู้เขียนแล้วเห็นว่าการที่คนเทิดทูน Pablo Escobar คือ คนที่แยกเรื่องความถูกใจกับความถูกต้องและการเคารพกฎหมายไม่ค่อยออก
หากนำ Pablo Escobar ไปเปรียบเทียบกับงานการตลาด เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า สินค้าที่สามารถสร้างให้ตลาดเกิดอารมณ์ (Emotional) ทางบวกขึ้นมาได้ จะทำให้คนซื้อเกิดความรักชอบถูกใจที่เหนือเหตุผล สินค้าตัวนั้นจะขายให้แพงยังไงก็มีคนซื้อ
คนโศกเศร้ากับการตายของ Pablo Escobar เข้ามาร่วมอาลัยและสดุดีศพแน่นป่าช้า
มากกว่านั้น คนกลุ่มหนึ่งยกย่องให้ Pablo Escobar เป็นนักบุญ
ความถูกใจมักเป็นพลังขับเคลื่อนที่รุนแรงกว่าความถูกต้องเสมอ
ตรงกันข้าม... ลูกชายของ Pablo Escobar ซึ่งมีอาชีพสถาปนิกกลับสัมภาษณ์ว่า
“พ่อของผมเป็นบุคคลที่ใครๆ ไม่ควรนำมาเป็นต้นแบบของชีวิต” ถือเป็นคำพูดที่หล่อมากค่ะ
เรื่องขบวนการยาเสพติดในอเมริกาใต้นั้นโหดร้ายกว่าที่เราคิด ตอนที่นั่งเครื่องบินจาก Newark ไป Lima ยังตกใจอยู่เล็กน้อยว่า เอ...ทำไมจำนวนผู้โดยสารไปอเมริกาใต้จึงมากมายเต็มลำแน่นยัดทะนานขนาดนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนละตินอเมริกาที่มาทำงานหรือเป็นผู้อพยพอยู่อเมริกาเดินทางกลับไปเยี่ยมภูมิลำเนาเดิม
แทบทุกคนหอบของจากอเมริกากลับไปบ้านกันพะรุงพะรัง มีทั้งเด็กๆ และคนสูงวัยมากมาย ที่สนามบินก็มีญาติพี่น้องมารับกันเต็มไปหมด
แต่พอขากลับมาที่ Newark นั้นกลับเป็นคนละอารมณ์ เพราะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกาไปรับผู้โดยสารบางคนถึงประตูเครื่องบิน และบริเวณที่รับกระเป๋าก็จูงหมามาไล่ดมกระเป๋าชนิดที่ดมแล้วดมอีก ศุลการักษ์ก็เปิดค้นกระเป๋าบางใบอย่างละเอียด
เขาค้นหายาเสพติดที่มาจากอเมริกาใต้ค่ะ ซึ่งขนาดว่า Pablo Escobar ตายไปตั้งนานแล้วนะคะ
ก็ต้องนึกถึงที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ หันมาเพ่งเล็งคนที่มาทำมาหากินและคนอพยพในอเมริกา เพราะคนละติน อเมริกาส่วนหนึ่งนี่แหละที่นำสิ่งที่สหรัฐไม่ปรารถนาเข้ามาในประเทศ
ยังนึกถึงที่ตัวเองที่นั่งอมทอฟฟี่ใบโคคาที่โรงแรมแจกเมื่อวาน ถ้าติดกระเป๋ามาสักเม็ดจะโดนรวบไหมเนี่ย
อเมริกามองใบโคคาที่นำมาสกัดเอาสาร Alkaloid เป็นผู้ร้ายตัวจริงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงปี’80 โคเคนทะลักเข้าอเมริกามากอย่างน่าเห็นใจ
อเมริกาจึงพยายามหาทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ ไปร่วมมือกับรัฐบาลต่างๆ ในอเมริกาใต้เพื่อหาทางกำจัดเจ้าพ่อยาเสพติดอย่าง Pablo Escobar
และอีกทางหนึ่ง คือ พยายามทำให้มีการควบคุมการปลูกต้นโคคาในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในโคลอมเบีย เปรู และโบลิเวีย
แต่โคคานั้นเป็นพืชที่อยู่ในวัฒนธรรม แอนดีสมาเป็นพันๆ ปีแล้ว คนอเมริกาใต้เขาก็เห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเขา
Evo Morales ประธานาธิบดีโบลิเวีย คนที่เคยปลูกต้นโคคามาก่อนกลายเป็นคนแรกที่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องต้นโคคาในระบบนิเวศของตนเอง แทนที่จะเออออตามอเมริกา
และตรงกันข้าม Evo Morales กลับไปทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 2009 ของโบลิเวียให้ต้นโคคาในโบลิเวียเป็นพืชที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองตามกฎหมายในเขตชีวมณฑลของตน
แล้วยังบอกด้วยซ้ำว่าโคคานั้นเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ บริษัทที่ผลิตสินค้าไม่ควรนำไปตั้งเป็นชื่อสินค้าใดๆ
ต่อมาก็ลามมาเป็นสงครามเครื่องดื่ม Cola ในแอนดีส ต้นโคคาและเครื่องดื่ม Cola ได้กลายมาเป็นประเด็นของการสร้างความรักชาติและชาตินิยมในอเมริกาใต้ขึ้นมาทันที
บนรถไฟ Vistadome และบนสายการบินในประเทศที่บินเชื่อมพื้นที่ต่างๆ ในอเมริกาใต้ เราอยากกินเครื่องดื่ม Cola น้ำดำเหมือนกับที่กินตามที่ต่างๆ ในโลก แต่ไม่มีบริการ
มี... Cola อีกชนิดหนึ่งบริการ แต่เป็น Cola น้ำสีเหลือง
ซึ่งมีรสชาติเหมือนกับเครื่องดื่มน้ำดำเหมือนที่เรากินที่อื่นๆ ในโลก และเครืองดื่ม Cola ที่แอนดีสเขาตั้งชื่อที่บอกถึงตัวตนและภูมิศาสตร์ผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนมาก
คือ ได้นำชื่อบรรพชนของพวกตนมาตั้งเป็นชื่อ
โดยมีชื่อว่า... Inka Cola
และดูเหมือนว่า Inka Cola จะเป็นสินค้าที่เรียกความเป็นท้องถิ่นนิยมที่ประสบความสำเร็จมาก
เพราะไปตามที่ไหนๆ แถวแอนดีสจะเห็นตู้แช่เครื่องดื่มมี Inka Cola น้ำสีเหลืองรอเราอยู่ เล่าต่อไปอีกหน่อยนะคะว่า เรื่องชื่อของเครื่องดื่มน้ำดำนี้ที่ยังจำได้อีกแห่ง คือ ที่อินเดียราว 30 ปีที่แล้ว จากการที่บริษัท Cola รายใหญ่ไม่ยอมขายหุ้นตามจำนวนที่ทางบริษัทในอินเดียต้องการ ทางอินเดียได้ทำเครื่องดื่ม Cola ออกขายเอง มีอยู่ 2 ชื่อ ชื่อหนึ่งคือ Thumb Up แต่ชื่อหนึ่งที่เห็นแล้วประทับใจมาก นึกว่าน่ามาจากตอนไหนของคัมภีร์หรือเทพปกรณัม
อินเดียตั้งชื่อว่า Maha Cola อ่านว่า... มหา โคล่า
แปลตรงตัวว่า... โคล่าที่ยิ่งใหญ่ก็เป็น Cola ที่ยิ่งใหญ่พอๆ กับ Inka Cola ที่เทือกเขาแอนดีส แต่ที่อินเดียไม่มีอะไรเกี่ยวกับต้น Coca นะคะ


