สืบสานศิลปะพื้นบ้านมโนราห์
โคกสะบ้า เป็น 1 ใน 6 ตำบล ของอ.นาโยง จ.ตรัง มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมาไม่น้อยกว่า 200 ปี
โดย...เมธี เมืองแก้ว
โคกสะบ้า เป็น 1 ใน 6 ตำบล ของอ.นาโยง จ.ตรัง มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมาไม่น้อยกว่า 200 ปี ในอดีตชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพทำนาเป็นหลัก ทำมาหากินตามห้วยหนองคลองบึง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เอื้ออาทร และช่วยเหลือกัน เมื่อเสร็จจากงานเกษตรกรรมใช้เวลาว่างร้องรำทำเพลงเพื่อคลายเครียด จนก่อให้เกิดคณะกลอนลาน (กลอนสด)และคณะหนังตะลุง โดยเฉพาะคณะมโนราห์ หรือโนรา ซึ่งยังคงรักษาศิลปะการร่ายรำอย่างงดงามตามแบบโบราณอยู่ถึง 8 คณะ จนเรียกได้ว่าเป็นชุมชนที่มีคณะมโนราห์มากที่สุดของไทย โดยมีโรงมโนราห์กลางเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ประจำตำบลชื่อว่า “บ้านมโนราห์”
สมัยก่อนตามงานต่างๆ ในชุมชนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่งงานงานศพ งานประเพณี หรืองานวัด จะมีการแข่งขันหนังตะลุง และมโนราห์ กันนับสิบๆ คณะ ซึ่งหากคณะไหนรำดี ท่าสวย คนนิยมดูมาก ก็จะชนะได้รางวัลดังนั้น ยามว่างเสร็จจากหน้านา หรือภารกิจประจำวัน จึงมักจะมีการฝึกลูกหลานให้รำมโนราห์อยู่เป็นประจำ จนเด็กและเยาวชนในพื้นที่มีความรู้ทางศิลปะการแสดงชนิดนี้ไม่น้อยกว่า 200คน ซึ่งโรงเรียนประจำตำบล ไม่ว่าจะเป็นมัธยมศึกษา หรือประถมศึกษา คือโรงเรียนนาโยงวิทยาคม และ โรงเรียนวัดไทรทอง เปิดชมรมศิลปะการแสดงมโนราห์ สอนการรำและลูกคู่ (นักดนตรี)ตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้
จุดเด่นของมโนราห์ ต.โคกสะบ้าจะเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “ตรังรำสวยพัทลุงขับดี (ขับกลอน) นครศรีธรรมราชกลอนเพราะ (ไพเราะ)” เนื่องจากมีท่ารำที่อ่อนช้อยสวยงามจนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจ ตามแม่ท่าสิบสองท่าและแม่บทแบบดั้งเดิมไม่มีการดัดแปลงยังคงรักษาไว้ซึ่งความทะมัดทะแมงตามลักษณะของการรำมโนราห์ คือ ตัวจะไม่สะบัดมาก โดยเฉพาะส่วนบนจะนิ่ง และสะบัดเฉพาะหน้าไปตามจังหวะ ส่วนอกแอ่น ก้นงอน อย่างที่เรียกว่ารำแอ้ เข่าย่อพองาม และเท้าจะยกถัดไปตามจังหวะขณะที่ดนตรีก็น่าฟัง ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ทำให้การรำสวยงามน่าดูมากยิ่งขึ้น
ราตรี หัสชัย อดีตครูโรงเรียนวัดไทรทอง ถือเป็นหวั เรี่ยวหัวแรงคนสำคัญของ ต.โคกสะบ้า ที่พยายามอนุรักษ์มโนราห์ ก่อนถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน จนทำให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ เริ่มตั้งแต่อายุ 4-5 ปี หันมาเรียนรู้หรือเอาดีทางการแสดงพื้นบ้านชนิดนี้กันเป็นจำนวนมาก พร้อมกับการสร้างและพัฒนาโรงมโนราห์กลาง ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้โดยชุมชน และมีคณะมโนราห์เป็นแกนขับเคลื่อนหลัก ควบคู่กับการประสานภาคส่วนต่างๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน เช่น การนำไปแสดงในงานต่างๆส่งผลทางอ้อมต่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเครือญาติ ผู้ปกครอง เด็กและเยาวชนรวมทั้งยังช่วยสร้างความครึกครื้นให้กับคณะมโนราห์อีกครั้ง
ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับมโนราห์ ยังคงแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของชาวโคกสะบ้าทุกเมื่อเชื่อวัน ตราบใดที่“ครูหมอโนรา” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยังอยู่ และยังคงมีโนราโรงครู (รำบูชาหมอตายาย) หรือโนราแก้เหมรย (รำแก้บน)กันอยู่แทบทุกบ้านเช่นนี้


