posttoday

เอิบอิ่มกว่ารู้ใจ คือสัมผัสได้ ในจิตวิญญาณที่ทุ่มเทสร้างผลงาน

26 กุมภาพันธ์ 2560

อวี๋ป๋อหยา เป็นขุนนางแคว้นจิ้น ในยุคจ้านกว๋อ เขาทุ่มเทให้กับดนตรี ว่ากันว่าอาจารย์ของอวี๋ป๋อหยาเคยพาเขาแล่นเรือ

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

อวี๋ป๋อหยา เป็นขุนนางแคว้นจิ้น ในยุคจ้านกว๋อ เขาทุ่มเทให้กับดนตรี ว่ากันว่าอาจารย์ของอวี๋ป๋อหยาเคยพาเขาแล่นเรือไปทางทะเลตะวันออก เพื่อเยือนเกาะเซียนเขาได้เสพความงามของธรรมชาติในเกาะเซียนจึงเกิดแรงบันดาลใจ ได้แต่งและบรรเลงท่วงทำนองเพลง “ฉิน” เพลงหนึ่งขึ้น เสียง “ฉิน” ที่เขาเล่นสามารถสร้างภาพภูเขาสูงและลำน้ำไหลแห่งเกาะเซียนขึ้นในใจของผู้ตั้งจิตสดับฟัง

(“ฉิน” เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ประเภทพิณ 7 สายของจีน มีท่วงทำนองเฉพาะตัว เสียงฉินไม่ดัง ไม่เรียกร้องทำนอง ฉินมักมีการเว้นว่างของเสียงมากกว่าปกติ จิตใจของผู้เล่นขณะบรรเลงเพลงฉินกับเสียงที่ออกมามักสะท้อนซึ่งกันและกันได้ คนยุคโบราณต่างยกย่องให้ฉินเป็นเครื่องดนตรีแห่งปัญญาชน เครื่องดนตรีที่ขงเบ้งเล่นบนกำแพงเมืองในแผนลวงสุมาอีก็คือ “ฉิน” นี่เอง)

แม้บทเพลงนี้ของอวี๋ป๋อหยาจะมีชื่อเสียงเล่าลือขจรขจาย แต่เขารู้ว่าที่จริงแล้วยังไม่มีใครรู้ซึ้งในเสียงเพลงของเขา ผู้คนอยากฟังเสียงฉินของเขาเพราะคำเล่าลือ แต่เมื่อได้ฟังจริงกลับถือเป็นเสียงดนตรีฟังเพลินๆ มิเคยมีใครได้ยินเสียงสรรพสิ่งภายในใจที่เขาบรรเลงออกมา อวี๋ป๋อหยาเฝ้าแสวงหาคนที่รู้จักเสียงเพลงที่เขาบรรเลงอย่างแท้จริง

ครั้งหนึ่งอวี๋ป๋อหยาต้องไปเป็นทูตติดต่อแคว้นฉู่ ระหว่างทางเกิดลมพายุพัดแรงจึงหยุดพักริมแม่น้ำบริเวณตีนเขาลูกหนึ่ง พอหัวค่ำพายุค่อยสงบลง ท้องฟ้าเปิดเห็นจันทร์เต็มดวงแจ่มชัด ด้วยคืนนั้นเป็นคืนวันไหว้พระจันทร์ บรรยากาศจึงช่างเป็นใจอวี๋ป๋อหยานำฉินรักที่ติดตัวมาด้วยออกมานั่งบรรเลงอย่างดื่มดํ่าเพลงแล้วเพลงเล่า

ขณะที่กำลังดื่มดํ่ากับการบรรเลงเพลงอย่างเมามัน เขาเหลือบไปเห็นเงาคนคนหนึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่บริเวณริมแม่น้ำ อวี๋ป๋อหยาตกใจสมาธิหลุด ลงแรงดีดผิดจังหวะสายฉินขาด “ผึง!” จังหวะที่เขากำลังคิดอยู่ว่าชายคนนั้นมาดีมาร้าย ชายคนนั้นส่งเสียงบอกกับเขาว่า

“ขอท่านอย่าสงสัย ข้าเป็นคนตัดฟืน วันนี้กลับบ้านค่ำ ผ่านมายินเสียงเพลงฉินของท่าน รู้สึกว่าบรรเลงได้อย่างอัศจรรย์นัก อดไม่ได้ที่จะมายืนฟัง”

อวี๋ป๋อหยามองชายคนนั้นใต้แสงจันทร์ เห็นข้างกายมีมัดฟืนอยู่จึงรู้ว่าชายคนนั้นคงไม่โป้ปด แต่สงสัยว่าเขาเป็นเพียงชายตัดฟืน ทำไมจึงเข้าใจในเพลงฉิน จึงถามไปว่า “ในเมื่อท่านเข้าใจในเพลงฉินนั้น ก็บอกหน่อยสิว่า เมื่อครู่ข้าบรรเลงเพลงอะไร”

เมื่อได้ยินคำถามของอวี๋ป๋อหยา ชายคนนั้นหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “เมื่อครู่ที่ท่านบรรเลงเป็นทำนองตอนขงจื่อชื่นชมศิษย์เอกที่ชื่อจื่อเหยียน แต่น่าเสียดายที่เมื่อท่านบรรเลงถึงบทที่ 4 สายฉินกลับขาดลงเสียก่อน”

อวี๋ป๋อหยาเก็บความยินดีไว้ไม่อยู่ รีบเชิญชายตัดฟืนเข้ามานั่งพูดคุย เมื่อชายตัดฟืนเห็นฉินที่อวี๋ป๋อหยาเล่น จึงพูดออกมาว่า “ฉินตัวนี้ชื่อ ‘ฉินเหยา’ ว่ากันว่าฝูซีกษัตริย์ในยุคโบราณเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น” ว่าแล้วก็สาธยายเกี่ยวกับประวัติของฉินตัวนี้อย่างละเอียด

อวี๋ป๋อหยาได้ยินแล้วอดนับถือในใจไม่หาย นี่มันแฟนพันธ์ุแท้ฉินชัดๆ จากนั้นเขาจึงบรรเลงเพลงอีกจำนวนหนึ่งให้ชายตัดฟืนฟัง แล้วให้ชายตัดฟืนพรรณนาความหมายภายในเสียงฉินที่บรรเลง เมื่อบรรเลงท่วงทำนองยิ่งใหญ่หนักแน่นสูงส่ง ชายตัดฟืนก็เอ่ยว่า “เสียงฉินนี้คือความยิ่งใหญ่ตระการตาของเขาสูง!”

เมื่ออวี๋ป๋อหยาพลิกผันบรรเลงระลอกเสียงใสละเมียดพลิ้วไหว ชายตัดฟืนก็พูดออกมาว่า “นี่คือเสียงของสายน้ำที่ไหลเรื่อยไปสุดขอบฟ้า”

อวี๋ป๋อหยายินดียิ่งนัก สิ่งที่ถ่ายทอดลงไปในเพลงฉิน ไม่เคยมีใครฟังได้อย่างเข้าใจเช่นนี้มาก่อน แต่ชายชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขากลับฟังได้ถึงแก่นและหมดเปลือก เขาไม่คิดเลยว่าในดินแดนอันห่างไกลกลับได้เจอคนเข้าใจเสียงเพลงของตนที่หามาแสนนาน

เขาถามไถ่ถึงชื่อแซ่ของชายตัดฟืน “ข้าชื่อจ้งจื่อชี” ชายคนนั้น ตอบว่าแล้วก็ชวนกันดื่มเหล้าเคล้าบทสนทนา ทั้งสองยิ่งพูดคุยยิ่งออกรส คุยกันจนดึกดื่น และสาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วนัดกันว่าช่วงไหว้พระจันทร์ในปีหน้าจะมาพบกันใหม่ที่เดิม

จากนั้นจึงอำลาด้วยอาลัย ผ่านไปถึงวันไหว้พระจันทร์ในปีถัดมา อวี๋ป๋อหยามาที่ริมน้ำตามที่นัด แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นจ้งจื่อชีปรากฏตัว เขาจึงนั่งลงดีดฉิน เผื่อว่าจ้งจื่อชีจะได้ยิน แต่บรรเลงไปนานก็ยังไม่เห็นเงา วันต่อมาอวี๋ป๋อหยาจึงถามชายชราคนหนึ่งแถวนั้นว่าพอจะรู้ข่าวของจ้งจื่อชีบ้างหรือไม่ ชายชรากลับบอกเขาว่า “จ้งจื่อชีเป็นโรคร้ายตายไปเมื่อไม่นาน ก่อนตายได้ฝากให้ฝังศพของเขาไว้ที่ริมน้ำที่นัดกัน บอกว่าเมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ปีหน้า จะได้ฟังเสียงฉินของท่านอวี๋ป๋อหยา”

อวี๋ป๋อหยาได้ยินเช่นนั้น รู้สึกแสนจะโศกเศร้า เขาไปที่หลุมศพของจ้งจื่อชี นั่งลงบรรเลงเพลง “ภูผาสูงสายน้ำไหล” อย่างทุกข์ระทม สายฉินเส้นบางไยจะทนทานต่อความทุกข์ที่กรีดลงในใจสู่ปลายนิ้วของเขา เขาบรรเลงจนสายฉินขาด ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาว ว่าแล้วก็ยกฉินแสนรักฟาดลงไปที่ก้อนหิน พูดอย่างรันทดท้อว่า “คนที่รู้เสียงข้าบัดนี้ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ข้าจะบรรเลงเพลงฉินให้ใครฟังได้อีกเล่า!”

ในภาษาจีนสำนวนคำว่า “รู้เสียง” (&&0693;&&8899;) มาจากเรื่องราวข้างต้น ความหมายอาจคล้ายกับ “รู้ใจ” แต่ “รู้เสียง” ไม่ได้เข้าใจอีกฝ่ายจากความสนิทชิดเชื้อกัน หรือเพราะรู้ทันนิสัย แต่เป็นความเข้าใจที่รับรู้ผ่านผลงานหรือการกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ทำด้วยใจตั้งมั่นแต่คนทั่วไปอาจสัมผัสไม่ถึง เว้นแต่มีใจที่สั่นพ้องและจริตที่เรียกร้องในสิ่งเดียวกัน

ความสัมพันธ์แบบนี้แม้ไม่ได้มีอยู่ในทุกคนแต่ก็มีอยู่ในชีวิตจริง เป็นความสัมพันธ์ผ่านความเข้าใจในผลงาน เป็นความสัมพันธ์ที่คนมีฝีมือนับไม่ถ้วนต้องการ

จีนมีสำนวนว่า “ผู้มีความสามารถย่อมทำงานถวายชีวิตให้ผู้ที่รู้จักความสามารถของเขา หญิงสาวประทินโฉมงดงามก็เพื่อคนที่ชื่นชอบในตัวเธอ” ด้วยคตินี้ของชาวจีนไม่ต้องแปลกใจเลยที่จอมยุทธ์และ
ผู้กล้าทั้งหลายจึงตายแทนผู้รู้ใจได้ทั้งที่พบพานกันเพียงไม่นาน

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสร้างหรือเสพผลงานก็ตาม หากชีวิตยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้ได้ย่อมเป็นชีวิตที่อิ่มเอมแน่นอน

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี