posttoday

ขอมดำดิน

05 กันยายน 2553

เป็นได้ไหมว่า คนไทยไม่แยแสกับ “สิ่งไร้ค่า” ดังกล่าว และด้วยความเมตตาของคนไทยจึงปล่อยให้กองอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ โดยไม่แตะต้องหรือเหลียวแลแม้แต่น้อย....

เป็นได้ไหมว่า คนไทยไม่แยแสกับ “สิ่งไร้ค่า” ดังกล่าว และด้วยความเมตตาของคนไทยจึงปล่อยให้กองอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ โดยไม่แตะต้องหรือเหลียวแลแม้แต่น้อย....

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

“ขอมดำดิน” เป็นถ้อยคำที่เกิดจากตำนานหรือเรื่องเล่าของคนโบราณ ที่คนไทย (สมัยเก่า) รู้จักดีในชื่อ “ตำนานพระร่วง”

ความที่ผู้เขียนเป็นคนกึ่งสมัย (ครึ่งเก่าครึ่งใหม่ ไม่ใช่ “กึ่งวิถี” ที่เป็นชื่อบ้านสำหรับรักษาคนที่มีปัญหาทางจิตอยู่แถวๆ ปทุมธานี) จึงพอจะจำตำนานดังกล่าวได้บ้าง แต่จะเล่าเรื่องดังกล่าวในฐานะนักรัฐศาสตร์ คือเชื่อมโยงถึงความเป็น “ชาติ” ของไทย และที่สำคัญคือสภาพการณ์ของการเมืองไทยในปัจจุบัน ที่มี “ขอมดำดิน” อยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก

“ตำนานพระร่วง” เกิดขึ้นในยุคที่สังคมคนไทยมีความระส่ำระสายไม่สามารถจะรวมชาติกันได้ ซึ่งคงจะเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 หรือ 18 อันเป็นยุคท้ายๆ ที่ “ขอมเรืองอำนาจ”
คนที่เชื่อตำราที่กล่าวถึงกำเนิดของชนชาติไทยว่าอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตตอนกลางของประเทศจีน ก็คงไม่เชื่อว่าคนไทยได้อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้คือบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันมานับเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่ตำนานพระร่วงได้ยืนยันทฤษฎีหลังนี้

ขอมดำดิน

ว่ากัน (ตามตำนานพระร่วง) ว่า บริเวณที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” ที่กินอาณาเขตที่ราบภาคกลางทั้งหมดของไทยไปจนถึงภาคเหนือตอนล่าง มีคนไทยหลายกลุ่มอาศัยอยู่ทั่วไป แต่ก็อยู่กันตามนิสัยคนไทยที่ยังเห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ “ตัวใครตัวมัน” เอ๊ย “ต่างคนต่างอยู่” คือมีชีวิตที่ค่อนอิสระและรวมกลุ่มอยู่กันไปอย่างหลวมๆ

ขณะนั้นชนชาติขอมที่มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ได้แผ่ขยายอำนาจโดยการสร้าง “ปราสาทหิน” ไปทั่วดินแดนแถบนี้ (อย่างที่รัฐบาลกัมพูชาชอบอ้างประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า ชนชาติเขมรเคยครอบครองประเทศไทยมาก่อน)

นอกจากนี้ยัง “เบ่งบารมี” โดยการเรียกเก็บ “ส่วย” (ฟังดูเหมือนองค์กรอะไรหนอ) จากประชาชาติทั้งหลายที่ขอมได้แผ่อำนาจไปถึง ซึ่งก็ย่อมมีคนที่ “ยินยอม” แต่ “ไม่ยินดี” เหมือนผู้นำของชนชาติไทยคนหนึ่ง ในชื่อเรียกขานว่า “พระร่วง”

อนึ่ง เรื่องพระร่วงนี้ มีเรื่องเล่าตลกๆ ว่าพวก “ซ้ายตกขอบ” ในยุคหลังวันที่ 14 ต.ค. 2516 มักจะอ้างว่า “เห็นไหมๆ ประเทศไทยก็เกิดจากการปลดแอกจากการกดขี่ ก็พระร่วงนั่นไง ที่ปลดแอกไทยจากขอม” เพื่อยืนยันทฤษฎีการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ของมาร์กว่า “ขลัง” เพียงไร

แต่พระร่วงในตำนานท่านน่าจะเป็น “พ่อค้าหัวแหลม” เพราะท่านได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ในการขนน้ำได้อย่างวิเศษ จนกษัตริย์ขอมระแวง ซึ่งตรงนี้ท่านที่เป็นคนสมัยใหม่ต้องเข้าใจก่อนว่า กษัตริย์ขอมท่าน “เสพติด” น้ำที่ทะเลสาบใน จ.ลพบุรี ที่ชื่อว่า “ทะเลชุบศร” นั้นเป็นที่ยิ่ง ว่ากันว่ามีรสชาติพิเศษที่อาจจะเกิดจากดินและหินอันมีกลิ่นและรสเป็นพิเศษในบริเวณนี้

ที่จริงกษัตริย์ขอมน่าจะชมเชยความคิดของพระร่วงแทนที่จะเกลียดกลัว และถ้าชนชาติขอมรับเอาเทคโนโลยีในการขนน้ำของพระร่วงไปขยายผล ก็อาจจะเป็นชาติที่มั่งคั่งและร่ำรวยมาจนถึงปัจจุบัน เพราะพระร่วงได้ปฏิวัติการขนน้ำจากการขนด้วยโอ่งหรือไหที่ต้องแตกเสียหายและทำให้สูญเสียน้ำไปเปล่าๆ เป็นจำนวนมาก เพราะต้องขนมาบนเกวียน ตามทางเดินที่ขรุขระ มาขนด้วยกระออมและกระทายที่เป็นไผ่สานแล้วยาด้วยยางชัน ทำให้มีความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา บรรทุกน้ำได้มาก และแตกรั่วน้อยลง สุขภาพของกษัตริย์ขอมก็จะดี เพราะมีน้ำวิเศษนั้นดื่ม ไม่สิ้นวงศ์พงศ์กษัตริย์ไปอย่างรวดเร็วอย่างที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นั้น

พระร่วงคงมีการข่าวดีกว่าหน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยในยุคปัจจุบันนี้มาก จึงรู้ตัวว่ากำลังถูกตามล่าอันเนื่องด้วยกษัตริย์ขอมเกรงจะเป็น “คู่แข่ง” เพราะชนชาติไทยกำลังฮือฮาใน “ฤทธาภินิหาร” หลายๆ เรื่องของพระร่วง โดยเฉพาะการมี “วาจาสิทธิ์” พระร่วงจึงไปบวชอยู่ที่สุโขทัยในวัดมหาธาตุที่ปัจจุบันได้สร้างเป็น “อุทยานประวัติศาสตร์” นี่แหละ

กษัตริย์ขอมได้ใช้ทฤษฎี “ไล่ล่า” แต่ครั้งนั้นเป็นการไล่ล่าคนสีเหลืองคือพระร่วงที่บวชเป็นพระอยู่นั้น โดยส่งนายทหารขอมคนหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก (ตามตำนานท่านมีชื่อด้วย แต่ผู้เขียนจำไม่แม่นเลยไม่กล้าอ้าง แต่คงไม่ใช่ชื่อแบบคนไทยใจเขมรหลายๆ คนในนี้แน่นอน) เพราะสามารถ “ดำดิน” ไปโผล่ยังที่ใดๆ ก็ได้ และนายทหารขอมผู้นี้ได้ดำดินมาโผล่ที่ลานวัดมหาธาตุในที่สุด

การข่าวของขอมแม้จะรู้ว่าพระร่วงมาบวชอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ก็ยังมีความบกพร่อง (เหมือนตำรวจไทยที่สเกตช์ภาพผู้ร้ายวางระเบิดว่าสวมหมวกกันน็อกปิดใบหน้าทั้งหมด) ที่ไม่สามารถระบุรูปพรรณสัณฐาน (ไม่ใช่ “ชยนนท์”) ของพระร่วงได้ จึงพนมมือขึ้นถาม (ดีที่ยังมีมารยาท) พระรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัดนั้นอยู่

บังเอิญพระรูปนั้นชื่อว่าพระร่วง ท่านก็มีเมตตาตามปกติของคนไทย จึงขอให้นายทหารขอมคนนั้น “รอ” อยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวท่านจะไปตามพระร่วงมาให้ (โบราณท่านว่าพระร่วงไม่อาบัติ เพราะไม่ได้โกหก แต่เป็นการใช้คำพูดที่แสดงความเมตตาดังกล่าว) ด้วยอิทธิฤทธิ์ในความมีวาจาสิทธิ์ของท่าน นายทหารขอมผู้นั้นเลยกลายเป็นก้อนหินวางอยู่บนลานวัดนั่นเอง

ผู้เขียนไปชมอุทยานประวัติศาสตร์ที่ จ.สุโขทัย นี้หลายครั้ง ซึ่งเขาจะมีไกด์พาขึ้นรถนำชมและอธิบายประวัติศาสตร์ต่างๆ อย่างน่าสนใจ พอมาถึงกองหินดำๆ ขนาดเท่าบาตรพระที่แปะอยู่บนลานศิลาแลงของวัดมหาธาตุ ที่ไกด์บอกว่านี่แหละคือ “ขอมดำดิน” ก็ลืมถามทุกทีว่าทำไมไม่มีใครหาอะไรมาล้อมรอบระวังไว้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีคนเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขอหวยบ้าง เพราะคนที่มีอิทธิฤทธิ์ขนาดดำดินได้ไกลๆ นี้ น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ผู้วิเศษ” ด้วยคนหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผู้เขียนกำลังมองกองหินกองนั้นที่อยู่ตรงปลายเท้า ก็เห็นเท้าอีกคู่หนึ่งเดินเข้ามาที่กองหินนั้น ยังไม่ทันที่จะได้มองหน้าของคนคนนั้น พลันก็ได้ยินเสียงพูดดังนำมาก่อนว่า “ไร้ค่าสิ้นดีไอ้ขอมนี่” ซึ่งพอผู้เขียนเงยหน้าขึ้นจะมองหาผู้พูดก็ไม่เห็นมีใครสักคนอยู่รอบๆ ตัวเลย

“บรื๋อ...” คือความรู้สึกอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนั้น

หลายวันต่อมาผู้เขียนจึงได้แง่คิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง (จากถ้อยคำสยองของบุรุษนิรนามนั่นแหละ) ว่าทำไมไม่มีใครไปบูชากองหินกองนั้น ก็คงเป็นเพราะความไร้ค่าของนายทหารขอมคนนั้น (ช่างน่าสงสารคล้ายกันกับนายทหารไทยบางคนที่จมไม่ลง) แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่าก็คือ ทำไมไม่มีใคร “เหยียบย่ำทำลาย” กองหินนั้นเลย

เป็นได้ไหมว่า คนไทยไม่แยแสกับ “สิ่งไร้ค่า” ดังกล่าว และด้วยความเมตตาของคนไทยจึงปล่อยให้กองอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ โดยไม่แตะต้องหรือเหลียวแลแม้แต่น้อย เหมือนกับจะบอกกับคนบางคนว่า

เดี๋ยวเอ็งก็กลับมาตายอย่างไร้ค่าอย่างนี้แหละ !

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68