posttoday

‘หนู’ คู่หู ‘เนวิน’คู่แท้สะเทือนปฐพี

04 กันยายน 2553

‘ผมทำหน้าที่ประสานงานให้คนรักกัน’

‘ผมทำหน้าที่ประสานงานให้คนรักกัน’

โดย..ทีมข่าวการเมือง

‘หนู’ คู่หู ‘เนวิน’คู่แท้สะเทือนปฐพี อนุทิน ชาญวีรกูล

วงการการเมืองไทยถึงคราวต้องสั่นสะเทือนกับการถือกำเนิดของพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจรัฐ อำนาจทุน จนกลายเป็นพรรคที่ฮอตสุดๆ ในขณะนี้ เพราะมี สส.จากต่างพรรคหลั่งไหลเข้าพรรคอย่างต่อเนื่อง หลังมื้อกลางวันที่ประกอบไปด้วยอาหารอีสานสไตล์พรรคลูกอีสานอย่างภูมิใจไทย
 
“อนุทิน ชาญวีรกูล” หรือที่ใครๆ เรียกเขาว่า “เสี่ยหนู” แกนนำพรรคภูมิใจไทยคนสำคัญ แต่เขาบอกเราว่าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ในฐานะลูกชายหัวหน้าพรรค “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ที่มีหน้าที่ประสานงานทำให้คนรักกันเท่านั้น จับเข่าคุยกับ “โพสต์ทูเดย์” ถึงเรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาดังนี้

เราเริ่มจากคำถามคาใจและที่มาที่ไปของการรวมพลังของ 2 ตระกูล ช. “ชิดชอบชาญวีรกูล” ที่ประกอบด้วยคุณพ่อ 2 ช. “ชัยชวรัตน์” และลูกชาย 2 น. “เนวิน อนุทิน” หรือที่รู้กันว่า “พี่เน กับ น้องหนู” ตกลงแล้วไปทำบุญอะไร เพราะทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นแฝดคนละฝากันไปแล้ว

“สงสัยทำบาปด้วยกันมามั้ง (หัวเราะ)” ก่อนขยายความด้วยน้ำเสียงที่จริงจังถึง “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ชายที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองของการเมืองไทย ว่า “เอาเป็นว่าผมรักเขาเหมือนกับพี่ชายแท้ๆ และไม่เคยรู้สึกว่าเขาไม่มีความจริงใจกับผมและครอบครัวด้วย ก่อนหน้านี้รู้จักกันมานานแล้ว แต่เพิ่งมาสนิทกันลึกๆ เมื่อ 23 ปีที่ผ่านมา ตอนที่มาล่องแก่งมหาภัยด้วยกันนี่แหละ

ในชีวิตของผมจะมีเพื่อนแท้สักคน พี่เนวินถือเป็นเพื่อนแท้ที่ผมไม่ต้องระแวงว่าเขาจะทำอะไรผม และเขาก็ไม่ต้องระแวงว่าผมจะคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเขา ต้องถือว่าเป็นเพื่อนแท้ เพราะคนเรามันร่วมทุกข์ร่วมสุขได้พิสูจน์จิตใจกันมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนที่หอบหิ้วกันมาจากพรรคพลังประชาชน ถือว่าเราสองคนเป็นเพื่อนร่วมตายของกันและกัน รวมถึงสมาชิกพรรคที่ย้ายมาด้วยกันในตอนนั้นด้วย เพราะช่วงนั้นถือว่าเราลำบากและทำงานใหญ่ด้วยกันมา

“ผมประทับใจเขาทุกวัน ผมเป็นคนที่ (นิ่งนาน) เลือกคบคนนะ คนที่มาด่าว่าคุณเนวินอย่างนั้นอย่างนี้ ลองมาคบเขาดูสิ มีปัญญาคบเขาหรือเปล่า คนที่คบเขาได้ ผมไม่เคยเห็นมีใครด่าเขาสักคน เรื่องความรักพวกพ้องก็เป็นหนึ่ง เรื่องความมีน้ำใจก็เป็นหนึ่ง เรื่องความรับผิดชอบก็เป็นหนึ่ง เรื่องคำไหนคำนั้น พูดแล้วไม่ต้องพูดซ้ำก็เป็นหนึ่ง มีสุขก็ไม่ได้มาเป็นสุข แต่พอมีทุกข์เห็นเขาคนแรก แค่นี้พอหรือยัง คนอย่างผมมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องคบเขา ถ้าเกิดเขาไม่มีคุณงามความดี” เขาอธิบายถึง “เนวิน” ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สนิทกันแค่ไหน รู้ใจกันแค่ไหน? “เสี่ยหนู” (นิ่งสักพัก) “มันเหมือนคนที่เข้าใจกัน ไม่ต้องคุยกัน แค่มองท่าเดินก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร พวกผมคบกันแบบนี้ ผมกับคุณเนวิน คุณศักดิ์สยาม คุณพ่อผม คุณลุงชัย อย่างที่บอกแค่ดูท่าทาง ก็รู้แล้วว่าวันนี้ต้องทำอะไร ไม่ต้องพูด เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าต้องเดินเข้าใกล้กี่เมตร วันนี้ควรจะโทร.หามั้ย หรือควรจะหายไปสักอาทิตย์หนึ่ง ความสัมพันธ์ตรงนี้มันล้นเหลือ เพราะทุกอย่างมาจากความจริงใจ รู้กันใครเบอร์ใหญ่เบอร์เล็ก อย่าทะเยอทะยาน เขาเป็นพี่ใหญ่ผมอยู่แล้ว

 “ความสนิทสนมชิดเชื้อที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องแค่ผมกับเขาเท่านั้น แต่มันสนิทกันหมด ทั้งพ่อ เมีย และลูก ซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันที่อังกฤษอีกต่างหาก เราสนิทกันมากเพราะเจอกันอาทิตย์ละเกือบ 7 วัน ทำงานด้วยกัน โดยเฉพาะกับคุณศักดิ์สยาม (ประธานคณะทำงาน รมว.มหาดไทย) กับคุณพ่อที่ตอนนี้เหมือนเขาเป็นลูกชายคนโตของ มท.1 เพราะคุณพ่อตื่นมาเรียกหา “ศักดิ์สยาม” ทุกวัน ดังนั้น ศักดิ์สยามเป็นลูกรัก ส่วนผมเป็นลูกชังไปแล้ว (หัวเราะ)”

กลับมาที่เรื่องหนักๆ กันบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการต่างๆ ที่พรรคภูมิใจไทยเสนอมักมีข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเสมอ “เสี่ยหนู” อธิบายเป็นฉากๆ อย่างมีอารมณ์ ว่า “คนที่เกิดมาเพื่อด่ามันก็ด่าได้ทุกเรื่อง แต่เราต้องมั่นใจว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่ (เน้นเสียงเข้ม) เราอาจจะแสดงอาการที่เราไม่ค่อยแคร์กับความรู้สึกของสังคมเท่าไหร่ เพราะมันอาจจะขวางการทำงานของเราได้

อย่างเช่นเรื่องรถเมล์ที่พรรคไม่จำเป็นต้องหาเสียงในกรุงเทพฯ แต่ที่เสนอไปเพราะมันเป็นหน้าที่ เนื่องจากเราดูแลกระทรวงคมนาคม ซึ่งความจริงแล้วนับจากวันที่เสนอจนกระทั่งวันที่โครงการเป็นรูปธรรม เราไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่เราไม่เคยถอยในเรื่องการผลักดันนโยบาย ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ คากันมาหลายรัฐบาล ถามว่าใครเป็นคนแงะออกมา ใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้น”

แต่นามสกุล “ชาญวีรกูล” กับ บริษัท ซิโนไทยฯ เจอคำถามนี้ “อนุทิน” ถึงกับสวนมาทันทีว่า “แล้วยังไง ที่แน่ๆ บริษัท ซิโนไทยฯ ไม่ได้ตั้งตอนที่คุณชวรัตน์มาเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือตั้งตอนที่ ‘อนุทิน’ เป็นรัฐมนตรี ตรงกันข้าม คุณพ่อผมได้ตั้งบริษัทนี้มานาน 50 ปี จนเรารู้สึกว่ามันแข็งแรงจนไม่ต้องไปยุ่งแล้ว จนขายหุ้นทิ้งไปเหลืออยู่ไม่ถึง 30% พ่อผมออกมา 13 ปี ส่วนผม 7 ปี

“ทุกวันนี้ผมไม่อยากเป็นผู้รับเหมาอีกต่อไปแล้ว ผมเบื่อ (เน้นเสียงดัง) กับงานที่ไม่รู้จักจบสิ้น และจะไม่กลับไปแน่นอน ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ผมถือว่าผมเป็นรัฐมนตรี จะให้กลับไปนั่งรออธิบดีแบบที่ผ่านมาผมทำไม่ได้

ฉะนั้น อยากให้ปล่อยวางกันเสียทีว่าผมเป็นเสี่ยซิโนไทยฯ ผลประกอบการ 50 ปี ครอบครัวผมอยู่ได้ พอตอนบริหารเองก็ด่าว่าผลประโยชน์ทับซ้อน แต่พอเอาคนนอกอย่าง คุณเรวัติ ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด มาเป็นประธานกรรมการบริษัท ก็หาว่าสร้างภาพใช้นอมินี ทั้งที่อย่างคุณเรวัติใครจะไปสั่งได้ 

แต่อย่างที่บอกใครจะด่ามันก็ด่า ดังนั้น เราจะไปแคร์ในสิ่งนี้มากไม่ได้ แต่ต้องบอกว่าถ้าเราทำอะไรดีแล้วยังถูกด่า คนที่ตั้งใจเป็นศัตรูกับเราต้องระวังว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่แคร์เสียงครหา มันจะยิ่งกว่านี้ คนทำงานมันก็ต้องการกำลังใจบ้าง ไม่ใช่ดี แต่มันชั่ว แบบนี้ไม่ได้  ความแฟร์มันต้องมี ในเมื่อเริ่มไม่ให้ความเป็นธรรมกับเรา เราก็ต้องเริ่มตัดสินใจด้วยตัวเองว่ามันเป็นธรรมหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง” เสี่ยหนูบ่นระคนน้อยใจ

ไดโว่ (ภท.) เน้นโตช้าไม่ตายเร็ว

 

‘หนู’ คู่หู ‘เนวิน’คู่แท้สะเทือนปฐพี อนุทิน ชาญวีรกูล

อีกหนึ่งประเด็นร้อนของพรรคภูมิใจไทยเจ้าของฉายา “ซูเปอร์ไดโว่ โคตรพลังดูด” ที่ทำให้หลายพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยร้อนๆ หนาวๆ เลือดไหลซิบๆ ท่ามกลางเสียงนินทาว่ามีตัวล่อทั้งแพ็กเกจ ค่าตัวคู่ละ 80 ล้านบาท พร้อมงบต่างๆ อีกไม่อั้น ทำให้เราตั้งคำถามเดียวกันแบบซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเพื่อหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ที่ สส.จำนวนหนึ่งตัดสินใจย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย และเราก็ได้รับคำตอบที่ซ้ำไปซ้ำมาเช่นกันว่า

“จุดแข็งของพรรคภูมิใจไทยในขณะนี้คือเรื่องนโยบาย เพราะเราเป็นพรรคที่มีการผลักดันนโยบายได้เป็นรูปธรรมจนชาวบ้านเห็น และ สส.ต่างพรรคอยากทำแบบนี้ได้บ้าง เรื่องเงินค่าตัวคงไม่เกี่ยวเพราะคนเป็นถึง สส.เขาไม่ขายตัวกันแล้ว เรื่องเอางบล่อคงไม่ใช่ เพราะในกฎหมายไม่มีงบ สส. มีแต่งบอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

แต่แน่นอนว่าการอยู่พรรคร่วมรัฐบาล การประสานในเรื่องการผลักดันนโยบายลงพื้นที่ย่อมทำได้ง่ายกว่าพรรคฝ่ายค้านอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา คนเราถ้าอยู่ที่เก่าทำงานไม่สะดวก อึดอัดใจก็มาหาที่ใหม่อยู่ ทำไมต้องพูดให้ทุกอย่างมันต้องไปเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทอง (กล่าวอย่างมีอารมณ์)

เท่าที่นับดูมี สส.ที่มาจากพรรคอื่นมาสังกัดพรรคเราไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวน สส.ในสภา และนั่นเป็นที่มาที่ทำให้พรรคเราต้องเจียมเนื้อเจียมตัวว่าเราเป็นพรรคขนาดเล็ก และไม่คิดหาญกล้าต่อกรที่จะเป็นพรรคอันดับหนึ่งแบบพรรคเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ เรารู้ตัวเราดี แต่ประตูพรรคภูมิใจไทยก็เปิดกว้างให้ผู้ที่อยากมาร่วมงานได้เสมอ ไม่มีปัญหา จะโตช้าก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่เอาแบบโตเร็วตายเร็ว”

มาในมุมการเมืองกันบ้างว่า การเมืองจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร อะไรคือปัญหา “อนุทิน” ถึงกับเครียดขึ้นมาทันที พร้อมกับบอกว่า “ต้นเหตุของวิกฤตมาจากเรื่องสองมาตรฐาน เพราะเจอมากับตัวเองตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทย เห็นได้เลยว่าการทำอะไรที่ไม่ (หยุดคิดนาน) ไม่ได้ใช้ความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง มันก็ทำให้เกิดความวุ่นวายตามมา

การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ทำให้ประเทศไทยเสื่อมถอยอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีอคติ มองการเมืองเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดปัญหาต้องปล่อยให้ระบอบประชาธิปไตยแก้ไขตัวมันเอง ไม่ใช่เอาของนอกระบบมาแก้ปัญหา อย่าไปทึกทักเอาเองว่าคนเลวมาปกครองบ้านเมือง เพราะคนชั่วคนโกงอยู่ไม่ได้นานหรอก

ทางแก้ที่ดีที่สุดคือ การปรับให้กฎหมายมีมาตรฐานเดียวกัน และควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ที่ไม่มีเหตุผล ถ้ารัฐธรรมนูญมีความเป็นธรรม ไม่อคติต่อการเมือง ความสงบสุขมันก็จะเกิดขึ้น และต้องมีการเลือกตั้งคนที่เป็นรัฐบาล ต้องไม่ยอมให้สิ่งที่อยู่นอกระบบมาขวางกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย

ย้ำอีกครั้งว่าพรรคเน้นเรื่องนโยบายเรื่องการปกป้องสถาบัน ดังนั้น ใครที่คิดก้าวล่วง ทำลาย พรรคภูมิใจไทยก็มีหน้าที่เป็นศัตรูกับคนเหล่านี้ เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใคร  พวกคุณกำลังสู้กับใคร สู้เพื่อใคร ผมไม่ได้ประกาศศึกกับคนเสื้อแดง แต่ประกาศศึกกับคนที่คิดร้ายกับสถาบัน คนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้ประเทศไม่มีสถาบัน 34 เดือนที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่ามีคนพยายามตั้งรัฐไทยใหม่ คนนั้นแหละเป็นศัตรูตัวเอ้กับพรรคภูมิใจไทย”


‘'พ่อผมไม่ใช่รัฐมนตรีขัดตาทัพ'

ย้อนกลับมาที่เรื่องส่วนตัวกันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกตระกูล ชาญวีรกูล ที่ถือเป็นตัวตายตัวแทนซึ่งกันและกัน ว่ากันว่าเหตุที่ "ปู่จิ้น" มาเป็นรัฐมนตรีอยู่ตอนนี้ก็เพื่อขัดตาทัพให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพ้นโทษแบนทางการเมืองก่อน
         
"ก็พ่อลูกกัน ไม่สนิทกันได้ไง แต่ไม่ถึงขั้นขัดตาทัพหรอก เพราะพ่อผมเป็นรัฐมนตรีก่อน คุณเนวินด้วยซ้ำ ตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึง 30 ปีดังนั้นจะเป็นนอมินีใครได้"
        
สำหรับวิกฤตปัญหาเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการไม่เป็นธรรมที่กระทรวงมหาดไทยนั้น"อนุทิน" บอกว่า "ได้บอกกับพ่อไปว่าทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ส่วนเรื่องการแต่งตั้งพวกพ้องนั้นขอถามกลับไปว่าคนที่แต่งตั้งมาเป็นคนบุรีรัมย์หรือคนจบธรรมศาสตร์ทุกตำแหน่งหรือเปล่าดังนั้นจึงเห็นว่าพ่อทำได้ดี มีแต่คนชมว่าเป็นผู้ใหญ่ นิ่ง สุขุม ทำงานดีกว่าผม ไม่เคยมีใครด่านอกจากฝ่ายตรงข้าม
         
แม้จะห่วงพ่อมาก แต่ไปถามคนที่กระทรวงได้เลยว่าเคยเห็นหน้าผมมั้ย ที่นั่นไม่มีที่ยืนให้ผมเดินเข้าไปก็อายเขาแล้ว เราต้องรู้บทบาท ไปทำไม เราเป็นลูกชายนะ เราไปทำไม ไปนั่งหน้าห้องเหรอ เพื่ออะไร มันไม่ใช่วันของเรา" เขากล่าวหนักแน่น
         
ท่าทีที่สบายๆ ตรงไปตรงมา ออกแนวโวยวายในบางครั้ง สไตล์ "เสี่ยหนู" ทำให้เราอดถามตรงๆ ไม่ได้ว่า ทำไมบุคลิกผิดกับพ่อ "ชวรัตน์" ที่สุขุม นุ่มลึก เขาตอบกลับมาทันทีว่า"ผมดูกระจอกใช่มั้ย ผมก็อยากได้ความสุขุมความนิ่ง จากท่านบ้าง แต่โวยวายแบบนี้ก็ดีแล้วโลซก โลโซ ซำเหมา ทั้งเนื้อทั้งตัวแทบไม่มีแบรนด์เนมเลย ผมไม่ใช่เสี่ยซิโน-ไทยฯ เงินเดือนทุกวันนี้ไม่ได้ใช้ของซิโน-ไทยฯ ด้วยซ้ำ ก็ผมเป็นอย่างนี้ผมถึงอยู่ได้ ไม่ยึดติด ไม่เป็นรัฐมนตรีก็อยู่ได้ ไม่เป็นผู้จัดการใหญ่ ซิโน-ไทยฯ ก็อยู่ได้"
        
 เขาบอกว่า แม้ว่าจะเหลือไม่ถึง 2 ปี ที่จะเป็นอิสระจากการถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่ตอนนี้เขายังไม่มีแผนว่าจะทำอะไรต่อไปเพราะเรื่องการเมืองวางแผนไม่ได้ และเขาเป็นคนไม่ค่อยคิดถึงอนาคต อยู่ไปกว่าบ้านเมืองจะสงบแล้วค่อยคิด แค่มีชีวิตจนถึงลืมตาตื่นได้ทุกเช้าก็ต้องขอบคุณตัวเอง พ่อแม่ ที่ให้เราเกิดมาทุกวันจึงมีความสุขมาก เพราะมองทุกอย่างไม่มีปัญหา เหมือนท่าน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณอดีตนายกรัฐมนตรี ที่มองทุกอย่างเป็นบทบาทหน้าที่ แต่ไม่ใช่ชีวิตเรา
        
 "ตอนเป็นรัฐมนตรีผมก็ทำเต็มที่ ตื่น 6 โมงเช้าทุกวัน พอหมดหน้าที่ผมก็ตื่น 10 โมง ก็ไม่มีใครมาว่าผมได้ เพราะผมไม่มีหน้าที่แล้ว วันนี้ผมก็ซำเหมาแบบนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งผมมีตำแหน่งแห่งหน ผมก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่าถ้าเป็นหน้าที่ ผมจะไม่ค่อยบกพร่อง ผมเป็นมืออาชีพ
         
ดังนั้น ทุกวันนี้จึงไม่ทำอะไร ตีกอล์ฟ เล่นกีฬา อยากกลับไปทำงานแต่ขี้เกียจ อยู่แบบนี้จนกว่าบ้านเมืองจะสงบแล้วค่อยคิด ผมไม่ได้ทำงานจริงๆ ชีวิตเรียบง่าย ลงทุนกับเพื่อนเล็กๆน้อยๆ เล่นหุ้นบ้าง เงินเดือนที่ได้ก็พอใช้ ไม่ลำบาก ถ้าไม่มีจริงๆ ค่อยขอตังค์พ่อ"  อนุทินตอบอย่างสบายใจ
        
 คำตอบที่ได้รับแม้ว่าจะทำให้เรางงอยู่บ้างแต่เมื่อตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินรัฐมนตรีเมื่อปี 2547 ทำให้ถึงบางอ้อทันที เมื่อพบว่า"อนุทิน" มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน  2,169 ล้านบาท และยังสะสมพระระดับเกจิอาจารย์ดังๆอาทิ พระรอดลำพูน สมเด็จวัดระฆัง หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พระผงสุพรรณ รวมมูลค่า 56.8 ล้านบาท อีกด้วย

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025