ปฏิวัติโอกาสเกิดยาก
กระแสปฏิวัติกลับมาเป็นประเด็นอีกรอบเมื่อ “วอชิงตันโพสต์” รายงานว่าประเทศไทยติดอันดับ 2 จาก 161 ประเทศที่เสี่ยงเผชิญเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2560 เป็นรองเพียงแค่ประเทศบุรุนดี
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
กระแสปฏิวัติกลับมาเป็นประเด็นอีกรอบเมื่อ “วอชิงตันโพสต์” รายงานว่าประเทศไทยติดอันดับ 2 จาก 161 ประเทศ ที่เสี่ยงเผชิญเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2560 เป็นรองเพียงแค่ประเทศบุรุนดี ในทวีปแอฟริกาเล็กน้อย
จากงานวิจัยของ เจย์ อูลเฟลเดอร์ นักรัฐศาสตร์ สหรัฐอเมริกา จับตาเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศต่างๆ ระหว่างปี 2555-2558 ซึ่งต่อมา ทีมงานของวอชิงตันโพสต์นำมาพัฒนาต่อ อาศัยฐานข้อมูลสถิติจากองค์กรวิจัยทั่วโลก เช่น การเมือง การทหาร ความขัดแย้ง รวมทั้งปัญหาปากท้องและราคาน้ำมันโลก ตั้งแต่ปี 2503-2560 ซึ่งใช้สถิติเปรียบเทียบเพื่อประเมินความเสี่ยง
จากสถานการณ์ที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกที่จำกัดเสรีภาพพลเรือนอย่างเข้มงวดกวดขัน นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2557 ต่อมาได้ผ่านความเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2559 และจัดการเลือกตั้งในปี 2560
รายงานของวอชิงตันโพสต์ อ้างความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ระบุว่าการเลือกตั้งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นต่อความพยายามรัฐประหารในอนาคต
ร้อนจน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ต้องออกมาชี้แจงว่า โลกแห่งความเป็นจริงการรัฐประหารไม่สามารถคำนวณด้วยค่าสถิติตัวเลข แต่การรัฐประหารในแต่ละครั้งเกิดจากเงื่อนไขความจำเป็นและสภาวะแวดล้อมที่สุกงอมของสถานการณ์แล้วเท่านั้น
“หากวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติของวอชิงตันโพสต์ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงเกิดรัฐประหารเพียง 11% เท่านั้น นั่นหมายความว่าโอกาสที่ไทยจะไม่เกิดการรัฐประหารมีสูงถึง 89% ถือว่าค่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดรัฐประหารเป็นไปได้ยากมาก ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลไปตามบทวิเคราะห์แม้แต่น้อย”
โฆษก คสช. ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังคงทำประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน จนได้รับความนิยมอยู่ในระดับสูง เหมือนเช่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน การทำรัฐประหารโดยที่ประชาชนไม่ยอมรับ จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ต่อเนื่องด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กับการออกมาปฏิเสธ พร้อมให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะทหารไม่อยากมีใครปฏิวัติ ถ้าประเทศเดินต่อไปไม่ได้ก็ต้องทำ แต่หากเราปรองดองกันแล้ว มีความร่วมมือกันทุกฝ่ายก็ไม่มีทางเกิด
“อีกทั้งทหารก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล หากเราทำปรองดองได้สำเร็จ โอกาสรัฐประหารก็ไม่เกิด ถ้าพรรคการเมืองคุยกันได้ ส่วนใหญ่นักการเมืองก็ดูแลประชาชนอยู่แล้ว ฝ่ายทหารก็อยู่ภายใต้นักการเมือง ก็ตกลงกันไม่มีความขัดแย้งกันและก็หาทางว่าจะอยู่อย่างสันติต่อไป ไม่มีหรอก ไม่เกิด”
หากวิเคราะห์ตามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ จะพบว่ายังไม่มีปัจจัยใดที่จะนำไปสู่การปฏิวัติยึดอำนาจ
เริ่มตั้งแต่ความเป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพที่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันมาตั้งแต่รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ไล่มาตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มารับหน้าที่นายกรัฐมนตรีคุมฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานประเทศเรื่อยมา
ยังไม่รวมกับการดึงบุคลากรบางส่วนจาก คสช. มาร่วมนั่งใน ครม.รับตำแหน่งทั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในหลายกระทรวงสำคัญ
นอกจากจะทำให้การทำงานราบรื่นและเป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบไม่มีแตกแถวหรือออกนอกลู่นอกทาง ร่วมกับการทำงานของแม่น้ำอีก 3 สาย คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
อีกด้านหนึ่งการหลอมรวมและวางเครือข่ายของ คสช.ไปนั่งทำงานในภาคส่วนต่างๆ ยังช่วยสกัดไม่ให้เกิดการปฏิวัติเพื่อล้มการบริหารงานของรัฐบาลไม่ว่าจากฝ่ายไหนก็ตาม
ที่สำคัญหากดูเนื้อในของกองทัพยุคนี้ต้องยอมรับว่ามีความเป็นเอกภาพค่อนข้างสูง เมื่อตำแหน่งสำคัญไล่มาตั้งแต่ ผบ.เหล่าทัพ เรื่อยมาจนถึงตำแหน่งสำคัญคุมกำลังต่างๆ มีการวางคนที่ทาง คสช.ไว้วางใจได้ให้มานั่งทำหน้าที่สร้างหลักประกันว่าจะไม่เกิดแรงกระเพื่อมใดๆ ในกองทัพ
ทั้งหมดเพื่อสกัดปัจจัยเสี่ยงอันจะยิ่งสร้างปัญหาและขัดขวางการทำงานของรัฐบาล คสช. ตลอดยังสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้โรดแมปที่ คสช.วางไว้มีอันต้องสะดุดอย่างน่าเสียดาย
โอกาสที่จะมีคนในกองทัพมาทำปฏิวัติซ้ำหรือปฏิวัติซ้อน ยึดอำนาจจาก คสช.แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวย่อมเป็นไปได้ยาก เว้นเสียแต่จะทำโดยรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้เกิดเพื่อต้องการล้างกระดานกันใหม่เมื่อเกิดปัญหา
แต่เวลานี้ก็ยังไม่มีปัจจัยอะไรที่ร้ายแรงถึงขั้นต้องใช้วิธีนี้ สู้ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามเส้นทางที่วางไว้ตามโรดแมปจะดีที่สุด
หากมองความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นขั้วอำนาจเก่า หรือกลุ่มสีเสื้อในอดีต ถึงตอนนี้ก็อ่อนกำลังลงไปอย่างมาก แถมถูกสะกดไว้ด้วยคำสั่ง คสช.ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว
ดังนั้น จึงไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปรากฏการณ์ภาคประชาชน หรือกลุ่มการเมืองออกมาเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การปฏิวัติล้มรัฐบาล คสช. ตราบเท่าที่ยังไม่มีชนวนรุนแรง
อย่างนี้แล้วการปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติซ้อน คงเกิดได้ยากในเร็วๆ นี้


