เตรียมตัวตาย
ช่วงนี้มีคนรู้จักเสียชีวิตหลายคน ฉันโชคดีที่อยู่มาได้ถึงวันนี้ 60 ปีแล้วก็อยากจะใช้วันที่เหลือให้มีคุณค่าขึ้น ถ้าลดความโลภโกรธหลงได้จะทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้น ต้องหาความพอดีในชีวิตให้มากขึ้น “บ้างาน” น้อยลง ลดความยึดมั่นถือมั่น ดูแลร่างกายและพัฒนาจิตวิญญาณให้มากขึ้น “ประหยัด” ให้เหมาะเจาะกับช่วงชีวิต ...พูดง่ายแต่ทำยาก แต่หากไม่เพียรทำก็ยิ่งจะไม่ได้
ช่วงนี้มีคนรู้จักเสียชีวิตหลายคน ฉันโชคดีที่อยู่มาได้ถึงวันนี้ 60 ปีแล้วก็อยากจะใช้วันที่เหลือให้มีคุณค่าขึ้น ถ้าลดความโลภโกรธหลงได้จะทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้น ต้องหาความพอดีในชีวิตให้มากขึ้น “บ้างาน” น้อยลง ลดความยึดมั่นถือมั่น ดูแลร่างกายและพัฒนาจิตวิญญาณให้มากขึ้น “ประหยัด” ให้เหมาะเจาะกับช่วงชีวิต ...พูดง่ายแต่ทำยาก แต่หากไม่เพียรทำก็ยิ่งจะไม่ได้
“เตรียมตัวตาย” เป็นหนังสืองานศพตนเองที่ สกูล สามเสน พี่ชายของแม่พิมพ์แจกเป็นมรณานุสติสิบกว่าปีก่อนตายจริง วันหลังต้องกลับไปอ่าน แต่หนังสือ “เตรียมตัวตาย” ที่เพิ่งได้อ่านและประทับใจที่สุดคือ “ลิ้มรสสิ่งที่อยู่ในใจ” ของพระอาจารย์ปสันโน ลูกศิษย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งของหลวงปู่ชา
ในฐานะเจ้าอาวาสวัดอภัยคีรีในสหรัฐอเมริกา ท่านได้ไปสอนกรรมฐานให้กับนักโทษประหารผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนไทยชื่อ จาตุรันต์ (เจย์) ศิริพงษ์ หนังสือเล็กๆ เล่มนี้เริ่มจากที่พระอาจารย์เล่าประสบการณ์ที่ได้เข้าไปเยี่ยมเจย์ 3 วันสุดท้ายในคุกซานเควนติน (S.Q.) “เหตุการณ์ในชีวิตของบุรุษผู้หนึ่ง ได้เปลี่ยนหายนะให้เป็นโอกาสเข้าสู่ทางที่มั่นคง จนเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นๆ ได้”
เจย์ถูกจับในปี 2526 ด้วยข้อหาปล้นร้านค้าแห่งหนึ่ง และฆ่าคน 2 คน เขารับสารภาพว่าร่วมในการปล้นแต่ไม่ได้ฆ่า การไม่ยอมซัดทอดผู้อื่นทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ได้มีการอุทธรณ์ แต่ในที่สุดก็ถูกประหารในปี 2542 ด้วยความที่เจย์เคยฝึกสมาธิภาวนาในช่วงที่บวชเรียนตามประเพณีไทย ระหว่างที่รอความตายอยู่ในคุกเขาได้รื้อฟื้นประสบการณ์นั้นขึ้นมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ หลายคนเล่าว่าเจย์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความสงบที่ผู้คนสัมผัสได้ในตัวเจย์ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนขอลดหย่อนโทษจากหลายฝ่าย รวมทั้งผู้คุมเรือนจำเอง
เขาบอกท่านปสันโนว่า “พร้อมครับ ผมเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว ยอมรับว่าจะถูกประหาร ไม่รู้สึกกลัว ไม่หวั่นไหว แต่ยังมีข้อสงสัยบางอย่างที่อยากขอศึกษาจากท่านอาจารย์” เขาบอกว่า ไม่เสียดายหากจะถูกประหาร เพราะการอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น บีบบังคับให้เขาแสวงหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อชีวิต ถ้าหากอยู่ธรรมดาๆ จะมีความเข้าใจขนาดนี้หรือเปล่า?
หลังจากถูกตัดสินประหารแล้ว 6-7 ปี เขาเกิดความรู้สึกว่าจะต้องรีบตัดสินใจ ว่าจะอยู่อย่างคนที่ผูกโกรธ เศร้าหมอง มีอกุศลธรรมครอบงำจิตใจ หรือจะพัฒนาจิตให้มีธรรมะมีความสงบ เขาได้เลือกที่จะพยายามละสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมองและพัฒนาส่วนที่ดีในจิตใจให้มากที่สุด เร็วที่สุด สำหรับเวลาที่ยังเหลืออยู่ซึ่งไม่รู้ว่าจะเร็วจะนานเท่าใด
เขาหาหนังสือมาศึกษาพระพุทธศาสนา จึงได้ฝึกภาษาอังกฤษจากแทบไม่รู้จนกระทั่งเขียนอธิบายพุทธปรัชญาได้อย่างละเอียด เขียนกลอนได้ และยังได้ฝึกวาดรูปในเรือนจำจนเก่งมีผลงานกว่า 600 ชิ้น
พระอาจารย์เล่าว่า เจย์ไม่เหมือนคนใกล้ตาย “แม้จะถูกล่ามโซ่ที่เอว เจย์ก็ยังดูภาคภูมิเป็นตัวของตัวเอง มารยาทงาม และต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ...ไม่มีอะไรส่อเค้าเลยว่า เที่ยงคืนของวันมะรืน ...เขาจะต้องตายแล้ว”
คนอื่นคงดูไม่ออกว่าในใจของเจย์ก็มีความรู้สึกที่เป็นอกุศลเหมือนกัน ทว่าเขาได้กำหนดรู้และปล่อยวางไปในการทำสมาธิ จนได้ลิ้มรสปีติและสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในจิต ดังสะท้อนในบทกวีของเจย์ [แปลโดย ศิริธร รัตนิน] :-
“ผ่านคืนวันของใจที่ไม่พัก ได้ตระหนักจนแจ่มแจ้ง ...แต่เสียงใดใคร่จะปลอบ ยามกลีบดอกไม้หนาวกรอบเป็นน้ำแข็ง ...ลาร้อยแก้วและร้อยกรอง ละน้ำหมึกและพู่กัน พรากดอกไม้บั้นปลายฤดู พ้นจากกำแพงแห่ง S.Q. ...เรื่องราวที่เคยรู้ เรื่องสวนหรือหนังสือโบราณ ตายขานกับความทะเยอทะยาน เป็นอดีตซึ่งหลงล่วงไป ...ล่องผ่านต้นป๊อปลาร์งอกไว ต้นไพน์เปลือกขาว ผ่านกระท่อมชาวนา ซ้ำผ่านกลีบเกสรจืดจาง ...แต่แล้ว ไม่มีหนทางไหน พาพ้นความเวทนาตน หนีทันความโศกศัลย์ ...อยู่ตรงนี้แหละดีกว่า และลิ้มรสสิ่งที่อยู่ในใจ”
ค่ำคืนสุดท้ายในแดนประหาร การวางตัวของเจย์และกุศโลบายของท่านปสันโนทำให้เพชฌฆาต 6 คน ซึ่งปกติรังแกข่มเหงนักโทษ กลับมีไมตรี สนใจฟังเทศน์ และ “ให้ความเคารพและเกรงใจ” ทั้งคู่มากขึ้น
นี่เป็นเกร็ดบางส่วนที่แสดงถึงผลสัมฤทธิ์ของการเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งทุกคนเลือกที่จะทำได้ เจย์อาจเป็นกรณีสุดโต่งที่เลือกผิดในอดีตจน “หมด” ทางเลือกในปัจจุบัน แม้สูญสิ้นอิสรภาพทางกาย แต่ใจก็ยังสามารถเลือกได้ เลือกแล้วเพียรพัฒนาก็สามารถบรรลุผลที่ถือว่ายิ่งใหญ่
คนส่วนใหญ่ยังมีทางเลือกเหลืออยู่มาก มักไม่อยากเลือกทางสุดท้ายของเจย์ แม้อาจยอมรับว่าดีจริง ...แต่ต้องไม่ลืมว่าความตายเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด
“เตรียมตัวตาย” มิได้มีประโยชน์เฉพาะกับคนใกล้ตาย หากเตรียมได้ดี ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะสุขได้ง่ายขึ้น สังคมรอบตัวจะสันติสุข ยิ่งมีชีวิตยาวเท่าใดก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น


