การค้าโลกเสพติด Protectionism เศรษฐกิจยิ่งฟุบ โลกยิ่งกีดกัน
ในเวลาที่เศรษฐกิจเป็นเรื่องเสี่ยงและอ่อนไหว เพราะยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของความผันแปรและเปราะบาง
ในเวลาที่เศรษฐกิจเป็นเรื่องเสี่ยงและอ่อนไหว เพราะยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของความผันแปรและเปราะบาง
โดย....ทีมข่าวต่างประเทศ
ดังนั้น สารพันกลยุทธ์จำเป็นต้องงัดออกมาใช้ เพื่อพาประเทศของตัวเองรอดพ้นจากวิบากกรรมนั้นให้ได้
หนึ่งในกลยุทธ์เหล่านั้นก็คือ การเสริมนโยบายปกป้องทางการค้า หรือการกีดกันทางการค้า (Protectionism) เพื่อสร้างรายได้และโอกาสให้กับประเทศตนเอง
นโยบายปกป้องทางการค้าเป็นเรื่องละเมิดข้อตกลงทางการค้าโลกมิใช่หรือ?
แม้ว่าประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ให้คำมั่นที่จะเปิดการค้าเสรี ทว่าประเทศสมาชิกก็พยายามหาทางใช้ช่องโหว่ตั้งปราการปกป้องการค้า หนุนสินค้า และกิจการของประเทศตน อันเป็นกฎข้อห้ามของทางดับเบิลยูทีโอ ซึ่งสนับสนุนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
แนวทางกีดกันทางการค้าเป็นสิ่งที่ปรากฏมาให้เห็นเด่นชัด นับตั้งแต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะจืดจางลงไปจวบจนเวลานี้
สังเกตได้จากข้อพิพาทและสงครามวาทะในเวทีการค้าในทุกระดับ ที่ออกมาโจมตีเรื่องนี้แทบทุกครั้ง แม้จะปิดท้ายด้วยการตกลงจะปกป้องและแก้ไขเรื่องเหล่านี้
แต่สุดท้ายการเอาตัวรอดในเวลาท่ามกลางการแข่งขันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ถูกละเลย และนำมาพูดซ้ำซากในทุกเวทีการค้า
อันที่จริงโลกมีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการค้าอย่างเสรีระหว่างประเทศ ทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ สินทรัพย์ และผู้คนเป็นเรื่องสะดวก และหนุนเศรษฐกิจเป็นอย่างดี
การเปิดเจรจาเสรีทางการค้าระหว่างทั้งแบบทวิภาคีและระหว่างภูมิภาคเป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้กรอบและนโยบายการค้าโลก แต่กลเม็ดปัจจุบันที่หลายประเทศใช้คือ วิธีการเสนอตัวเลขภาษีศุลกากรไว้ในระดับที่สูง
แต่ในทางปฏิบัติก็มีการลดตัวเลขการจัดเก็บภาษีให้ต่ำลงกว่าที่ตั้ง และเลือกปฏิบัติที่จะปรับขึ้นภาษีกับบางประเทศ หรือบางเวลาตามอำเภอใจ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนหรือทำลายกฎเกณฑ์ที่มีอยู่
ภาพที่ทำให้เห็นชัดเจนถึงแนวทางปกป้องทางการค้าจะผุดออกมา โดยเฉพาะกับประเทศที่กำลังตกอยู่ในอาการ “สำลักน้ำ” จะลอยพ้นโผล่จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ไม่ชัดนัก จะจมลงไปอีกหรือไม่ ก็ยังไม่แน่
รัฐบาลโอบามากำลังโดนโจมตีแบบรอบด้านในเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ใช่จากทางคู่รักคู่ปะทะอย่างจีนเท่านั้น
ล่าสุดรัฐบาลโอบามาอนุมัติให้มีการขึ้นค่าวีซ่าสำหรับ H1B และ L1 ซึ่งเป็นวีซ่าที่ส่วนมากบริษัทเอาต์ซอร์สด้านไอทีของอินเดียต้องพึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอินเดียก็ออกมาโจมตีเรื่องนี้ว่าเป็นหนึ่งในหลายมาตรการปกป้องทางการค้าอย่างชัดเจน เพื่อช่วยประลองตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐที่คุกคามหัวใจและคะแนนเสียงโอบามามาอย่างยืดเยื้อ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ โอบามาก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจว่า Buy America คือ รัฐต้องการให้หันมาซื้อสินค้าในทุกๆ ประเภทที่ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์
แน่นอนว่า นั่นเป็นกำแพงสกัดยอดสินค้านำเข้าจากประเทศดาวรุ่ง
กระทั่งเมื่อครั้งที่โตโยต้าต้องเรียกรถคืนจำนวนมหาศาล รัฐบาลโอบามากระโดดลงโจมตีโตโยต้า บริษัทผลิตรถยนต์เชื้อชาติญี่ปุ่น คู่แข่งชิ้นโตสำหรับค่ายบิ๊กทรีของสหรัฐอย่างไม่ยั้ง
นักวิเคราะห์วิจารณ์กระหึ่มว่า นั่นเป็นวิถีทางอันสุดโหด เพื่อปกป้องตลาดรถของค่ายบิ๊กทรีที่รัฐบาลอุตส่าห์โอบอุ้มไว้
ส่วนประเทศที่ถูกจับตามากที่สุดก็หนีไม่พ้นจีน มังกรผงาดด้านเศรษฐกิจ กรณีที่กำลังขับเคี่ยวกับสหรัฐก็เข้าข่ายกีดกันทางการค้าทั้งนั้น ไล่เรียงตั้งแต่ ขาไก่ ยางรถยนต์ ท่อเหล็ก จิปาถะ
ไม่เว้นแม้แต่ยุโรป ก็มีทิศทางชาตินิยม พาประเทศรอด ด้วยการออกมาตรการจ้างงานเฉพาะคนอังกฤษ การไม่ปล่อยกู้ให้กับประเทศนอกกลุ่ม
ตัวเลขจากองค์กรโกลบอล เทรด อเลิร์ต (Global Trade Alert) ชี้ชัดว่า การค้าโลกคงกำลังติดนิสัย หรือเพิกเฉยต่อสิ่งที่เรียกว่า ลัทธิ ปกป้องทางการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
การกระโดดลงสู้ทางการค้าและเศรษฐกิจแบบใสๆ คงเป็นเรื่องงมเข็มในมหาสมุทร
ตัวเลขจากฉบับล่าสุดเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า มีมาตรการทางการค้าที่เข้าข่ายเป็นมาตรการปกป้องทางการค้าราว 658 มาตรการ จากทั้งสิ้น 960 เพิ่มขึ้นจากรายงานเมื่อเดือน ม.ค. ถึง 182 มาตรการ
ดูจากตัวเลขแต่ละมาตรการแม้จะยังไม่มี ความชัดเจนแบบฟันธงออกมาว่าเป็นการกีดกันทางการค้าชัดๆ แต่สิ่งที่ปรากฏกำลังชี้ให้เห็นว่าแนวทางการค้าโลกกำลังเสพติดพฤติกรรมที่แข่งขันเสรีเพียงชื่อเท่านั้นแล้ว
เมื่อมาตรการแอบแฝงเหล่านี้ระบาดหนัก หน้าที่หนึ่งก็คงต้องตกเป็นของดับเบิลยูทีโอที่ต้องออกมาอุดช่องโหว่ของกฎข้อบังคับทางการค้าระหว่างประเทศ ส่วนประเทศเล็กๆก็คงต้องรอรับผลกระทบต่างๆ ต่อไปอย่างสุดจะเลี่ยง


