posttoday

‘อนิศ โอสถานุเคราะห์’ การบริหารคนคือกุญแจความสำเร็จ

14 มกราคม 2560

“อนิศ โอสถานุเคราะห์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) วัย 43 ปี

โดย...ประลองยุทธ ผงงอย

“อนิศ โอสถานุเคราะห์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) วัย 43 ปี จบระดับมัธยมศึกษาจากสหรัฐ บินกลับมาประเทศไทยเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จากนั้นต่อปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

หลังจากนั้น เริ่มต้นชีวิตการทำงานแรกปี 2535 ในสายการเมือง เป็นผู้ช่วยของคุณพ่อที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.กาฬสินธุ์ อีกทั้งลงพื้นที่ช่วยหาเสียงและประสานงานโครงการต่างๆ รวมถึงงานด้านรัฐสภาอีกหลายๆ ภาคส่วน

งานด้านการเมืองทำให้ได้เรียนรู้เรื่องคนว่ามีหลายประเภท รวมถึงทำให้รู้ว่าหากกลุุ่มผลประโยชน์ใดลงตัวไม่ว่าเรื่องใด มักจะสามารถเดินต่อไปได้ แต่ถ้าผลประโยชน์ไม่ลงตัวเรื่องนั้นต้องหยุดลงทันที รวมถึงโลกของการทำธุรกิจ

จนเมื่อปี 2540 เริ่มมาจับงานด้านสายบันเทิงจนมีชื่อเสียงโด่งดัง จึงหยุดเส้นทางการทำงานด้านการเมือง

ทั้งงานบริษัทค่ายเพลงส่วนงานเบื้องหลังมีหน้าที่แต่งเพลง ทำดนตรี จากนั้นในปี 2542 จึงทำอัลบั้มเพลงของตัวเองเป็นยุคที่เพลงอินดี้กำลังโด่งดัง โดยในยุคนั้นอัลบั้มเพลงทำออกมาเป็นเทปคาสเซต จึงต้องดูแลกระบวนการด้านการผลิตและจำหน่าย โดยในปี 2546 จึงออกมาตั้งบริษัทค่ายเพลงเป็นของตัวเอง

งานในยุคต่อมาคือการทำแมกกาซีนที่แถมซีดี หรือตอนนั้นเรียกว่า “ดิสกาซีน” มีเนื้อเกี่ยวกับวงการเพลง ตอนนั้นตัวเองมีหน้าที่ในการเขียนคอลัมน์ด้วย ทำไปสักระยะเริ่มสนุกกับงานทำหนังสือ จึงชวนเพื่อนคือ จิ๊บ-อติกานต์ หนุนภักดี มาร่วมทำพ็อกเกตบุ๊กชื่อ “หักหลังผู้ชาย” จนมีชื่อเสียงโด่งดังถือเป็นยุคทองของการทำพ็อกเกตบุ๊ก ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการตั้งบริษัทใหม่เพื่อทำสำนักพิมพ์พ็อกเกตบุ๊กและแตกย่อยออกมาเป็นสำนักพิมพ์อีกหลายๆ แห่ง แบ่งตามประเภทของแนวพ็อกเกตบุ๊ก และเริ่มทำสายส่งของตัวเองด้วย หรือกลายเป็นธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร

ตามมาด้วยการทำบริษัทรับผลิตรายการทีวีให้กับช่องต่างๆ ยกตัวอย่างรายการทีวีที่โด่งดังตอนนั้นคือ “หักหลังผู้ชายออนทีวี” รวมถึงรายการ “เกมกลยุทธ์” ถือเป็นเกมโชว์แรกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในไทยในช่วงนั้น

เมื่อรวมระยะเวลาการทำงานในสายบันเทิงประมาณ 10 ปี จากนั้นโยกย้ายมาจับงานดิจิทัลเอเยนซีอีกประมาณ 3-4 ปี ต่อมาลูกพี่ลูกน้องหรือพี่ชาย “ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์” ได้ชวนมาร่วมงานด้วย ตอนนั้นยังเป็นบริษัท จอยท์ พาโนราม่า หรือ AJP ทำธุรกิจเคเบิลทีวีจำนวน 16 ช่อง รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น DCORP ในปัจจุบัน

ในช่วงนั้น AJP ต้องการคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาช่วยบริหารธุรกิจ ในช่วงแรกตัวเองจึงมานั่งเป็นหนึ่งในกรรมการ (บอร์ด) ในปี 2557 หลังช่วงการปฏิวัติใหม่ๆ ทีวีทุกช่องถูกสั่งปิดทั้งหมดทำให้ธุรกิจบริษัทประสบปัญหา เพราะธุรกิจเคเบิลทีวีมีผลกระทบโดยตรง อีกทั้งยังไม่ทราบว่าจะกลับมาเริ่มธุรกิจเมื่อใดและจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังอยู่ โดยในตอนนั้น AJP ยังไม่มีแผนที่จะทำธุรกิจพลังงาน

โจทย์หลักที่โยนเข้ามาให้ตัวเองตอนนั้นคือการแก้ปัญหาของทีวีจอดำ ในช่วงแรกของการทำงานคือการลดผลการขาดทุนให้น้อยลง จึงเริ่มหาพันธมิตรทางธุรกิิจที่มีศักยภาพ ทั้งด้านคอนเทนต์และเงินทุน ซึ่งการแก้ปัญหาทีวีที่จอดำพร้อมกัน 16 ช่องไม่ง่าย เมื่อทีวีกลับออกอากาศได้ธุรกิจเข้ามาสู่วงจรขาลง ทั้งปัจจัยกดดันจากกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น และมีคู่แข่งใหม่เข้ามาจำนวนมากอย่างทีวีดิจิทัล

ส่งให้ในตอนนั้นโจทย์คือ การมองหาธุรกิจใหม่ที่มีคุณสมบัติ คือ ไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้ขาย สินค้าไม่มีวันเน่าเสีย สร้างรายได้มั่นคงในระยะยาว สร้างกระแสเงินกลับมาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ต้องทำการตลาดโฆษณา คำตอบสุดท้ายคือ ธุรกิจพลังงานเมื่อได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากรัฐบาลในระยะยาว จะมีรายได้ทันที เป็นรายได้ประจำในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ที่เคยศึกษามีคุณสมบัติใกล้เคียงกันจึงจดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยขึ้นมา จากนั้นออกสำรวจตลาดพบว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ง่าย โดยเฉพาะการทวงหนี้จาก พ.ร.บ.ทวงหนี้ ที่กำหนดไว้ว่าหลังเวลา 18.00 น. ห้ามเข้าไปทวงที่บ้านลูกหนี้ และหากเจ้าหน้าที่ทวงหนี้พูดจาไม่ดีกับลูกหนี้ ผู้บริหารบริษัทถือว่ามีความผิดถึงขั้นจำคุก ดังนั้นจึงเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ไม่น่าทำ เพราะคนไทยมีความหัวหมอค่อนข้างมากจึงมีความเสี่ยง

สำหรับการทำงานทั้งสายบันเทิงกับพลังงานเบื้องหน้าอาจแตกต่างกัน แต่มองว่ามีเบื้องหลังการทำงานที่เหมือนกันคือการบริหารจัดการด้านต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการคนถือว่ายากที่สุด

หลักการทำงานบริหารจัดการที่ดี คือ การใช้ความสามารถของบุคคลหรือทีมงานเก่งๆ ที่มีในบริษัทสามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จ จึงมองว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง และถือเป็นกุญแจของความสำเร็จในการบริหาร เพราะถ้าคนเก่งทำงานเพียงคนเดียวไม่สามารถทำงานได้เองหมดทุกด้าน

ดังนั้น ต้องหาคนที่เก่งที่สุดมาช่วยทำงานในแต่ละด้าน โดยในฐานะผู้บริหารคือการต่อจิ๊กซอว์นำคนเก่งมารวมกันทำงานให้เกิดเป็นภาพเดียวกัน ความยากคือการหาคนเก่งมาทำงานด้วย เพราะคนเก่งต่างเป็นที่ต้องการขององค์กรใหญ่

อีกปรัชญาที่ยึดใช้ในการทำงาน “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” เพราะมองชีวิตเหมือนเกม ใช้เวลาในขณะการเล่นเกมเพื่อให้ได้คะแนนดีที่สุด แต่เมื่อหมดเวลาในเกมไม่ต้องเครียดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติ จากนั้นจึงกลับมาเริ่มเล่นเกมใหม่ในวันต่อๆ ไป

นอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาตัวเองตลอดผ่านการเรียนรู้ที่มองว่าไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งจากการฟัง อ่าน เขียน ออกเป็น Mind Mapping รวมถึงเข้าคอร์สอบรมต่างๆ

“ผมเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ถ้าทำอะไรอย่างเดียวไปสัก 2-3 ปีแล้วมักจะไม่ทำต่อแม้จะประสบความสำเร็จ เพราะจะหมดความประทับใจ ตัวอย่างช่วงทำพ็อกเกตบุ๊กโด่งดังมากอยู่ประมาณ 3-4 ปีก็เลิก เพราะเริ่มไม่ชอบ งานเริ่มอยู่ตัวจึงไม่ท้าทายเลยหันมาทำทีวี”

ตอนนี้มีโครงการส่วนตัวในฝันที่อยากทำต่อคือ ศูนย์กลางสำหรับผู้เกษียณอายุเพื่อรองรับประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงตัวเองที่จะไปอยู่ในอนาคต ได้อยู่ร่วมสังสรรค์กับเพื่อนวัยเดียวกัน

อีกทั้งเป็นคนไม่ชอบมีพันธะจึงไม่ต้องการมีลูก รวมถึงที่ผ่านมาเช่าบ้านอยู่มาโดยตลอดอยู่ประมาณ 3-4 ปีพอเบื่อก็จะย้ายไปเช่าบ้านใหม่หรือคอนโดมิเนียม แม้จะมีบ้านของคุณพ่อทั้งในกรุงเทพฯ และ จ.กาฬสินธุ์ ก็ไม่เคยเข้าไปอยู่

สำหรับเวลาผ่อนคลายชอบเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติในต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตให้ช้าลง รวมถึงต้องการเวลาพักผ่อนเพราะการทำงานในโลกตลาดทุนเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด พิธีปิดซีเกมส์ 2025 สุดยิ่งใหญ่ ส่งไม้ต่อ มาเลเซีย 2027