‘อนิศ โอสถานุเคราะห์’ การบริหารคนคือกุญแจความสำเร็จ
“อนิศ โอสถานุเคราะห์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) วัย 43 ปี
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
“อนิศ โอสถานุเคราะห์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) วัย 43 ปี จบระดับมัธยมศึกษาจากสหรัฐ บินกลับมาประเทศไทยเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จากนั้นต่อปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
หลังจากนั้น เริ่มต้นชีวิตการทำงานแรกปี 2535 ในสายการเมือง เป็นผู้ช่วยของคุณพ่อที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.กาฬสินธุ์ อีกทั้งลงพื้นที่ช่วยหาเสียงและประสานงานโครงการต่างๆ รวมถึงงานด้านรัฐสภาอีกหลายๆ ภาคส่วน
งานด้านการเมืองทำให้ได้เรียนรู้เรื่องคนว่ามีหลายประเภท รวมถึงทำให้รู้ว่าหากกลุุ่มผลประโยชน์ใดลงตัวไม่ว่าเรื่องใด มักจะสามารถเดินต่อไปได้ แต่ถ้าผลประโยชน์ไม่ลงตัวเรื่องนั้นต้องหยุดลงทันที รวมถึงโลกของการทำธุรกิจ
จนเมื่อปี 2540 เริ่มมาจับงานด้านสายบันเทิงจนมีชื่อเสียงโด่งดัง จึงหยุดเส้นทางการทำงานด้านการเมือง
ทั้งงานบริษัทค่ายเพลงส่วนงานเบื้องหลังมีหน้าที่แต่งเพลง ทำดนตรี จากนั้นในปี 2542 จึงทำอัลบั้มเพลงของตัวเองเป็นยุคที่เพลงอินดี้กำลังโด่งดัง โดยในยุคนั้นอัลบั้มเพลงทำออกมาเป็นเทปคาสเซต จึงต้องดูแลกระบวนการด้านการผลิตและจำหน่าย โดยในปี 2546 จึงออกมาตั้งบริษัทค่ายเพลงเป็นของตัวเอง
งานในยุคต่อมาคือการทำแมกกาซีนที่แถมซีดี หรือตอนนั้นเรียกว่า “ดิสกาซีน” มีเนื้อเกี่ยวกับวงการเพลง ตอนนั้นตัวเองมีหน้าที่ในการเขียนคอลัมน์ด้วย ทำไปสักระยะเริ่มสนุกกับงานทำหนังสือ จึงชวนเพื่อนคือ จิ๊บ-อติกานต์ หนุนภักดี มาร่วมทำพ็อกเกตบุ๊กชื่อ “หักหลังผู้ชาย” จนมีชื่อเสียงโด่งดังถือเป็นยุคทองของการทำพ็อกเกตบุ๊ก ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการตั้งบริษัทใหม่เพื่อทำสำนักพิมพ์พ็อกเกตบุ๊กและแตกย่อยออกมาเป็นสำนักพิมพ์อีกหลายๆ แห่ง แบ่งตามประเภทของแนวพ็อกเกตบุ๊ก และเริ่มทำสายส่งของตัวเองด้วย หรือกลายเป็นธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร
ตามมาด้วยการทำบริษัทรับผลิตรายการทีวีให้กับช่องต่างๆ ยกตัวอย่างรายการทีวีที่โด่งดังตอนนั้นคือ “หักหลังผู้ชายออนทีวี” รวมถึงรายการ “เกมกลยุทธ์” ถือเป็นเกมโชว์แรกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในไทยในช่วงนั้น
เมื่อรวมระยะเวลาการทำงานในสายบันเทิงประมาณ 10 ปี จากนั้นโยกย้ายมาจับงานดิจิทัลเอเยนซีอีกประมาณ 3-4 ปี ต่อมาลูกพี่ลูกน้องหรือพี่ชาย “ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์” ได้ชวนมาร่วมงานด้วย ตอนนั้นยังเป็นบริษัท จอยท์ พาโนราม่า หรือ AJP ทำธุรกิจเคเบิลทีวีจำนวน 16 ช่อง รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น DCORP ในปัจจุบัน
ในช่วงนั้น AJP ต้องการคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาช่วยบริหารธุรกิจ ในช่วงแรกตัวเองจึงมานั่งเป็นหนึ่งในกรรมการ (บอร์ด) ในปี 2557 หลังช่วงการปฏิวัติใหม่ๆ ทีวีทุกช่องถูกสั่งปิดทั้งหมดทำให้ธุรกิจบริษัทประสบปัญหา เพราะธุรกิจเคเบิลทีวีมีผลกระทบโดยตรง อีกทั้งยังไม่ทราบว่าจะกลับมาเริ่มธุรกิจเมื่อใดและจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังอยู่ โดยในตอนนั้น AJP ยังไม่มีแผนที่จะทำธุรกิจพลังงาน
โจทย์หลักที่โยนเข้ามาให้ตัวเองตอนนั้นคือการแก้ปัญหาของทีวีจอดำ ในช่วงแรกของการทำงานคือการลดผลการขาดทุนให้น้อยลง จึงเริ่มหาพันธมิตรทางธุรกิิจที่มีศักยภาพ ทั้งด้านคอนเทนต์และเงินทุน ซึ่งการแก้ปัญหาทีวีที่จอดำพร้อมกัน 16 ช่องไม่ง่าย เมื่อทีวีกลับออกอากาศได้ธุรกิจเข้ามาสู่วงจรขาลง ทั้งปัจจัยกดดันจากกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น และมีคู่แข่งใหม่เข้ามาจำนวนมากอย่างทีวีดิจิทัล
ส่งให้ในตอนนั้นโจทย์คือ การมองหาธุรกิจใหม่ที่มีคุณสมบัติ คือ ไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้ขาย สินค้าไม่มีวันเน่าเสีย สร้างรายได้มั่นคงในระยะยาว สร้างกระแสเงินกลับมาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ต้องทำการตลาดโฆษณา คำตอบสุดท้ายคือ ธุรกิจพลังงานเมื่อได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากรัฐบาลในระยะยาว จะมีรายได้ทันที เป็นรายได้ประจำในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ที่เคยศึกษามีคุณสมบัติใกล้เคียงกันจึงจดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยขึ้นมา จากนั้นออกสำรวจตลาดพบว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ง่าย โดยเฉพาะการทวงหนี้จาก พ.ร.บ.ทวงหนี้ ที่กำหนดไว้ว่าหลังเวลา 18.00 น. ห้ามเข้าไปทวงที่บ้านลูกหนี้ และหากเจ้าหน้าที่ทวงหนี้พูดจาไม่ดีกับลูกหนี้ ผู้บริหารบริษัทถือว่ามีความผิดถึงขั้นจำคุก ดังนั้นจึงเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ไม่น่าทำ เพราะคนไทยมีความหัวหมอค่อนข้างมากจึงมีความเสี่ยง
สำหรับการทำงานทั้งสายบันเทิงกับพลังงานเบื้องหน้าอาจแตกต่างกัน แต่มองว่ามีเบื้องหลังการทำงานที่เหมือนกันคือการบริหารจัดการด้านต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการคนถือว่ายากที่สุด
หลักการทำงานบริหารจัดการที่ดี คือ การใช้ความสามารถของบุคคลหรือทีมงานเก่งๆ ที่มีในบริษัทสามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จ จึงมองว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง และถือเป็นกุญแจของความสำเร็จในการบริหาร เพราะถ้าคนเก่งทำงานเพียงคนเดียวไม่สามารถทำงานได้เองหมดทุกด้าน
ดังนั้น ต้องหาคนที่เก่งที่สุดมาช่วยทำงานในแต่ละด้าน โดยในฐานะผู้บริหารคือการต่อจิ๊กซอว์นำคนเก่งมารวมกันทำงานให้เกิดเป็นภาพเดียวกัน ความยากคือการหาคนเก่งมาทำงานด้วย เพราะคนเก่งต่างเป็นที่ต้องการขององค์กรใหญ่
อีกปรัชญาที่ยึดใช้ในการทำงาน “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” เพราะมองชีวิตเหมือนเกม ใช้เวลาในขณะการเล่นเกมเพื่อให้ได้คะแนนดีที่สุด แต่เมื่อหมดเวลาในเกมไม่ต้องเครียดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติ จากนั้นจึงกลับมาเริ่มเล่นเกมใหม่ในวันต่อๆ ไป
นอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาตัวเองตลอดผ่านการเรียนรู้ที่มองว่าไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งจากการฟัง อ่าน เขียน ออกเป็น Mind Mapping รวมถึงเข้าคอร์สอบรมต่างๆ
“ผมเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ถ้าทำอะไรอย่างเดียวไปสัก 2-3 ปีแล้วมักจะไม่ทำต่อแม้จะประสบความสำเร็จ เพราะจะหมดความประทับใจ ตัวอย่างช่วงทำพ็อกเกตบุ๊กโด่งดังมากอยู่ประมาณ 3-4 ปีก็เลิก เพราะเริ่มไม่ชอบ งานเริ่มอยู่ตัวจึงไม่ท้าทายเลยหันมาทำทีวี”
ตอนนี้มีโครงการส่วนตัวในฝันที่อยากทำต่อคือ ศูนย์กลางสำหรับผู้เกษียณอายุเพื่อรองรับประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงตัวเองที่จะไปอยู่ในอนาคต ได้อยู่ร่วมสังสรรค์กับเพื่อนวัยเดียวกัน
อีกทั้งเป็นคนไม่ชอบมีพันธะจึงไม่ต้องการมีลูก รวมถึงที่ผ่านมาเช่าบ้านอยู่มาโดยตลอดอยู่ประมาณ 3-4 ปีพอเบื่อก็จะย้ายไปเช่าบ้านใหม่หรือคอนโดมิเนียม แม้จะมีบ้านของคุณพ่อทั้งในกรุงเทพฯ และ จ.กาฬสินธุ์ ก็ไม่เคยเข้าไปอยู่
สำหรับเวลาผ่อนคลายชอบเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติในต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตให้ช้าลง รวมถึงต้องการเวลาพักผ่อนเพราะการทำงานในโลกตลาดทุนเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก


