จัณฑาล (1)
โดย...นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
โดย...นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
ท่ามกลางภาวะซบเซาของตลาดหนังสือ น่ายินดีที่หนังสือ “จัณฑาล” ของสำนักพิมพ์สันสกฤต ฉบับ พ.ศ. 2558 พิมพ์ถึงครั้งที่ 10 แล้ว โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศอินเดีย วางขายไม่ได้
จัณฑาล แปลจาก Untouchables ของ นเรนทรา จาดาฟ ซึ่งพื้นเพเป็นจัณฑาล แต่สามารถฟันฝ่าความทุกข์ยากและรังเกียจเดียดฉันท์ เรียนจนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา สหรัฐอเมริกา เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งระดับชาติอินเดียและระดับนานาชาติ เขียนตำราเศรษฐศาสตร์ และบทความวิชาการไว้มากมาย
หนังสือเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติที่เขียนในรูปนวนิยายเล่าเรื่องราวสืบย้อนไปถึงรุ่นปู่ย่าตายาย แต่เน้นที่พ่อแม่จนมาถึงเรื่องราวของตนเอง ตบท้ายในภาคผนวกด้วยเรื่องราวของลูกสาว ซึ่งดูจะพ้นจากพิษภัยของการเหยียดหยามมนุษย์ในสังคมอินเดียไปได้แล้ว
กลวิธีการเขียน ใช้วิธีเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละครสำคัญคือดามูผู้พ่อ และโซนูผู้แม่ เหมือนนวนิยายเรื่อง “หลงกลิ่นโลกีย์” ของ รพินทรนาถ ฐากูร (ดร.กิติมา อมรทัต แปลจาก The House and the World) กลวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้สามารถสะท้อนเหตุการณ์ และความรู้สึกได้อย่างลุ่มลึกจากสองมุมมองผสมผสานกัน
เรื่องราวของจัณฑาลในปัจจุบันอาจไม่เลวร้ายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่สวยสดงดงามแบบแฮปปี้เอนดิ้งในหนังสือเล่มนี้ ดังที่ผู้เขียนได้ระบุไว้ในย่อหน้าแรกของบทนำว่า ปัจจุบันยังมีผู้อยู่ในกลุ่มจัณฑาลถึงหนึ่งร้อยหกสิบห้าล้านคน (เป็นจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรสหรัฐอเมริกา) “เขาเหล่านั้นต่างยังต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน ภายใต้ภาพวรรณะที่มีมานานกว่าสามพันห้าร้อยปีของอินเดีย ซึ่งยังคงเป็นรอยด่างแห่งมนุษยธรรม”
แน่นอนว่า บุคคลสำคัญที่ปฏิวัติระบบวรรณะของอินเดียได้อย่างทรงพลัง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สถาปนาพระพุทธศาสนาและสังฆะซึ่งปฏิเสธระบบวรรณะโดยสิ้นเชิง ถือว่ามนุษย์ทุกคนเสมอกัน และให้ความเคารพอาวุโสโดยถือผู้มาบวชก่อนเป็นผู้อาวุโสสูงกว่า เมื่อเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ ก็บวชให้พระอุบาลีซึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดผมก่อนจะบวชให้แก่บรรดาเจ้านายราชวงศ์ เพื่อให้เจ้านายราชวงศ์เหล่านั้นต้องลดมานะกราบพระอุบาลี
พระพุทธศาสนาสามารถมีอิทธิพลในแคว้นมคธ และเผยแผ่ไปทั่วราชอาณาจักรตลอดจนขยายไปหลายประเทศ ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และดำรงอยู่บนแผ่นดินชมพูทวีปเป็นเวลากว่าพันปี แต่ก็ไม่สามารถลบล้างระบบวรรณะในอินเดียลงได้ จนพุทธศาสนาเองปลาสนาการไปจากผืนแผ่นดินอินเดียเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี
ระบบวรรณะที่กดจัณฑาลให้ต่ำไว้ ด้วยการกำหนดบทลงโทษผู้ใดที่ลอบฟังคำสวดพระเวท จะต้องถูกกรอกหูด้วยตะกั่ว ผู้ใดสวดพระเวทจะต้องถูกตัดลิ้น และผู้ใดบังอาจท่องจำพระเวท ร่างจะต้องถูกสับเป็นสองท่อน จัณฑาลต้องแขวนหม้อดินไว้ที่ต้นคอเพื่อรองรับน้ำลายของตนที่ไม่อาจถ่มลงบนพื้นดินให้แปดเปื้อนได้ และต้องห้อยไม้กวาดไว้ที่สะโพก เพื่อคอยกวาดลบรอยเท้าของตนขณะเดินไป
มหาบุรุษที่เป็นผู้นำคนสำคัญที่ต่อสู้เพื่อคนจัณฑาลอย่างมีพลังยิ่ง ในช่วงศตวรรษนี้ คือ ดร.อัมเบดการ์ ซึ่งเป็นจัณฑาล เกิดเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2434 แต่สามารถเรียนจนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐ เมื่อปี 2460 จบปริญญาเอกจาก London School of Economics and Political Science และเป็นเนติบัณฑิตในสำนักกฎหมายเกรย์สอินน์ เมื่อเดินทางกลับอินเดีย ก็เริ่มขบวนการปลดปล่อยจัณฑาลคู่ขนานกับการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย
นเรนทรา จาดาฟ ผู้เขียนเรื่องจัณฑาล ต่อมาได้เขียนชีวประวัติของ ดร.อัมเบดการ์ เป็นหนังสือเล่มโตหนาถึง 642 หน้า
เรื่องจัณฑาลเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของ ดร.อัมเบดการ์ กับชีวิตของคนจัณฑทาลที่ต้องรับเคราะห์กรรมแสนสาหัสอย่างดามูและโซนู
ดามูไปร่วมชุมนุมฟังคำปราศรัยของ ดร.อัมเบดการ์ ที่เมืองมาฮาด เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2470 ขณะนั้น ดร.อัมเบดการ์ อายุเพียง 36 ปี ส่วนดามูอายุ 20 ปี ดามูร่วมขบวนการต่อสู้ตามแนวทางสันติวิธี เคยได้ร่วมพิธีเผาคัมภีร์มนูศาสตร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กดขี่คนวรรณะต่ำ ดร.อัมเบคการ์ เรียกร้องให้ “เรียนรู้ รวบรวม รวมตัว” “จะมีคนให้เกียรติเรา ก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้ที่จะทำอะไรเอง ช่วยเหลือตัวของเราเอง ให้เกียรติตัวเราเอง และให้ความรู้แก่ตัวเอง ... พ่อแม่จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ หากเขาไม่ปรารถนาจะเห็นลูกหลานของตัวได้มีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง”
ดร.อัมเบดการ์ ต่อสู้จนได้เป็นประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญอินเดียก็มีบทบัญญัติยกเลิกระบบวรรณะในอินเดีย แต่กากเดนของระบบกดขี่ยังดำรงสืบต่อมาอีกยาวนาน
หนังสือเล่มนี้ เริ่ม “อารัมภบท” ด้วยเหตุการณ์ เมื่อ ก.ค. 2491 เกือบปีหลังอินเดียได้เอกราชแล้ว ดามูในเสื้อผ้าขะมุกขะมอมไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในมุมไบเพื่อเอาลูกเข้าเรียนหนังสือ ดามูถูกดูถูก เหยียดหยาม แต่เขาก็ไม่ระย่อ เดินหน้าไปจนได้
นเรนทรา จาดาฟ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เกิดเมื่อปี 2496 หลังอินเดียได้เอกราชแล้วถึง 6 ปี แต่ขณะนั้นระบบวรรณะในอินเดียยังกดขี่คนวรรณะต่ำ โดยเฉพาะจัณฑาลอย่างรุนแรง ในที่สุด ดร.อัมเบดการ์ ก็ต้องเคลื่อนไหวปฏิรูปครั้งใหญ่โดยการนำจัณฑาลราว 5 แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองนาคปุระ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2499
นเรนทรา จาดาฟ แม้สำเร็จการศึกษาสูงและมีหน้าที่การงานดี รายได้สูง แต่ก็มิวายถูกรังเกียจจากครอบครัวฝ่ายหญิง เพราะความเป็นจัณฑาล แม่ฝ่ายหญิงถึงกับบุกไปบอกให้เลิกติดต่อกับลูกสาว เขาต้องใช้ความเพียรพยายาม และอดทนอย่างหนักกว่าจะต่อสู้อย่างยืนหยัดจนได้แต่งงานกัน แต่ก็ยังพบอุปสรรค เพราะไม่มีสถานที่รับจัดการแต่งงานให้ เพราะ “ฤกษ์ดีๆ” ถูกจับจองไปหมดแล้ว นานเป็นปี เหลือวันว่างก็เป็นวันที่ไม่มีใครเขา “บ้า” จัดแต่งงานเพราะเป็นวันฤกษ์ร้าย และ “ไม่มีพระที่ไหนจะมาประกอบพิธีให้หรอก” แต่เขาตัดสินใจอย่างกล้าหาญกำหนดทำพิธีแต่งงานในวันที่ถือเป็นวันอัปมงคลนั้น โดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ และจะเป็นคนหาพระมาทำพิธีให้เอง “หรือไม่ก็แต่งโดยไม่มีพระก็ได้”
จาดาฟ และเจ้าสาว ไม่กลัวว่าจะพบชะตากรรมอันเลวร้าย เขา“ไม่เชื่อ ไม่ลบหลู่” แต่กล้าหาญและประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตสืบต่อมา


