ราชา ภวตุ ธมฺมิโก
“เทโว วสฺสตุ กาเลน/สสฺส สมฺปตฺติ เหตุ จ/ผีโต ภวตุ โลโก จ ราชา ภวตุ ธมฺมิโก” คาถาสั้นๆ นี้เป็นคำอธิษฐานท้ายบทสวด
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
“เทโว วสฺสตุ กาเลน/สสฺส สมฺปตฺติ เหตุ จ/ผีโต ภวตุ โลโก จ ราชา ภวตุ ธมฺมิโก”
คาถาสั้นๆ นี้เป็นคำอธิษฐานท้ายบทสวดมหาชัยมงคลคาถาและเป็นคำขอพรติดปากของชาวลังกา แม้แต่ในรัฐธรรมนูญก็ปรากฏคาถาที่ว่านี้ คำแปลของผมอาจไม่ตรงกับคำบาลีนักเพราะเน้นเอาความ แต่ก็ไม่ต่างกันมาก หลักใหญ่ใจความก็คือ ขอให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดู ขอให้บ้านเมืองรุ่งเรืองมั่งคั่ง ขอให้สันติสุขจงบังเกิด และขอให้ผู้ปกครองทรงธรรม
ชาวลังกาเชื่อว่า เมื่อผู้ปกครองทรงธรรม เทพยดาจะบันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามกาล เมื่อฝนตกต้องตามกาล ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ครั้นปวงประชาอิ่มหนำบ้านเมืองก็เป็นสุข เช่น มีครั้งหนึ่งนายอังกฤษสั่งห้ามชาวลังกาแห่พระทันตธาตุ เมืองกัณฏิ (ทั้งๆ ที่พระเจ้ากรุงลังกาองค์สุดท้ายวางเงื่อนไขกับอังกฤษก่อนยกเมืองให้แล้วว่า ต้องอุปถัมภ์พุทธศาสนา) ปรากฏว่าไม่มีฝนตกในเมืองกัณฏิถึง 3 ปี กระทั่งชาวลังกาต้องไปขอร้องกับข้าหลวงอังกฤษ ข้าหลวงยินยอมอย่างแกนๆ ครั้นอัญเชิญพระทันตธาตุออกมาแห่ ฝนก็ตกลงห่าใหญ่อีกครั้ง
เดี๋ยวนี้ชาวลังกายังตีความกันใหม่ว่า ผู้ปกครองต้องตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน สภาพดินฟ้าก็ไม่แปรปรวน
คนลังกากับคนสุวรรณภูมิแต่ก่อนเชื่อกันว่า เมื่อผู้ปกครองไม่เป็นธรรม ฝนฟ้าวิปริต เพราะเชื่อว่าฝนฟ้ามีเทพยดาคอยควบคุมให้ตกต้องตามกาล เมื่อเจ้าผู้ปกครองเป็นทรราชย์ เทพยดาก็เมินเฉย อั้นน้ำไว้ให้ผู้คนลำบาก พอประชาชนเดือดร้อนมากๆ ก็ฮือกันก่อขบถ
หากแต่เมื่อผู้ปกครองใฝ่ในธรรม ก็เชื่อกันว่า เทพยดาผู้รักษาพระศาสนาจะช่วยเกื้อหนุน อย่างเมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 ปราบดาภิเษกแล้ว ก็ทรงทำในสิ่งที่กษัตริย์โบราณของอโยธยาทวารวดีไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ สังคายนาพระไตรปิฎก โดยปรารภว่า “แต่ปฐมกษัตริย์ลำดับมาถึงที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ สิ้นกษัตริย์ จนแผ่นดินเดิม หาได้เพียรเพิ่มบารมีที่จะทรงสร้างไม่”
เมื่อทรงสังคายนาพระไตรปิฎกแล้ว ปีถัดมาเกิดเพลิงไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ก็ทรงปรารภขึ้นอีกว่า “ว่าเราได้ยกพระไตรปิฎก เทวดาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงจะเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี”
รัชกาลต่อๆ มามีการบำรุงพระธรรมกันถึงขนาด เช่น สังคายนาบทสวดมนต์ครั้งแรกในรัชกาลที่ 2 พิมพ์พระไตรปิฎกบาลีครั้งแรกของโลกในรัชกาลที่ 5 แม้ในรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นยุคที่จะสิ้น “ถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี” ตามคำทำนายของรัชกาลที่ 1 ก็ยังทรงอุปถัมภ์การสร้างพระไตรปิฎก “พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ” เป็นฉบับแปลสมบูรณ์ไม่เคยมีมาก่อน
แล้วลำดับกษัตริย์ก็สิ้นลงที่ 150 ปีจริงๆ หากแต่สิ้นในสถานะเดิมมาเริ่มใหม่ในสถานะภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นคนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนคงอดคิดไม่ได้ว่า ชะรอยคงจะเป็นผลบุญจากการสร้างพระไตรปิฎกมาเกือบทุกรัชกาลกระมัง
แต่ถึงยุครัชกาลที่ 9 เรารู้ว่าไม่ใช่พระไตรปิฎกที่ทำให้แผ่นดินรอดยุคเข็ญ หรือเป็นเทพยดาที่ห้ามฝน แต่เป็นเพราะการกระทำประชาชนทุกระดับชั้นล้วนๆ
ยุคนี้ผู้คนทำลายสิ่งแวดล้อมในอัตราที่น่ากลัว กระหายวัตถุจนลืม “ธรรม” ในหลวงองค์ที่แล้วจึงต้องทรงบุกน้ำลุยป่า สร้างสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ขึ้นมาให้ แนะให้ประชาชนกินอยู่อย่างยั่งยืน จึงทรงเป็นราชาที่ทรงธรรมตามการตีความยุคใหม่ ด้วยทรงสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และทำให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ โดยไม่ต้องรอเทพยดาที่ไหน
ในยุคนี้ เราไม่เชื่อเหมือนคนเฒ่าคนแก่ หากฝนฟ้าไม่ตกต้องตามกาล ไม่ใช่เพราะผู้นำไม่ทรงธรรม แต่ต้องถามเราเองด้วยว่า “ทรงธรรม” พอหรือไม่


