ศูนย์แก้หนี้ไม่มีหลักประกัน คิดง่ายแต่ทำยาก
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
ทันทีที่ วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แย้มถึงแนวคิดการจัดทำศูนย์การเจรจาหนี้ของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในเร็วๆ นี้ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นกลไกสำคัญอีกตัวในการจัดการหนี้ ไม่ว่าจะ แก้ปัญหาหนี้ ติดตามการชำระหนี้ หรือประนอมหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกรายหรือทุกธนาคารพาณิชย์ โดยหวังว่าจะช่วยหาทางออกให้กับลูกหนี้ที่ติดกับดักหนี้ ช่วยลดต้นทุนในการตามหนี้ของธนาคารพาณิชย์ลง และช่วยลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบสถาบันการเงินไทยได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงคิดใหญ่ในเรื่องการหาทางป้องกันหนี้เสียไม่ให้ย้อนกลับไปเป็นหนี้เสียใหม่ ด้วยการหาทางสร้างวินัยหรือความรับผิดชอบทางการเงินแก่คนที่เคยเป็นหนี้ด้วย ไม่ว่าหนี้ก้อนนั้นจะกู้เพราะความจำเป็นหรือกู้เพราะเหตุใดก็ตาม เพื่อให้คนเหล่านี้ไม่กลับมาก่อหนี้เกินตัวจนอาจกลายเป็นชนวนก่อความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในระบบสถาบันการเงินในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะถ้าทำได้ผลดีจริงอาจช่วยลดหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 81% ของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ลงด้วยก็เป็นได้
เรื่องนี้แม้จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากในการนำไปปฏิบัติ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเป็นเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการตัดสินว่า เมื่อประชาชนคนเป็นหนี้เข้าไปติดต่อแจ้งขอประนอมหนี้หรือผ่อนผันหนี้ และให้ธนาคารเจ้าหนี้ทุกแห่งมารวมอยู่ที่เดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกแบบวันสต็อปเซอร์วิส
ศูนย์จะใช้เกณฑ์หรือเงื่อนไขอะไรมากำหนดว่า หนี้ก้อนใดควรได้รับการคืนหนี้ก่อนหรือหลัง และเจ้าหนี้แต่ละรายจะได้รับคืนในสัดส่วนเท่าไรมากน้อยอย่างไร หรือถ้าจะยืดเวลาการชำระหนี้ให้ลูกหนี้จะยืดหนี้ของเจ้าหนี้รายใดก่อนและจะยืดนานแค่ไหน รวมถึงถ้าต้องตัดหนี้สูญจะตัดส่วนไหนระหว่างค่าปรับ ดอกเบี้ย หรือเงินต้น และจะตัดของเจ้าหนี้รายใดก่อนหลังหรือถ้ามีลูกหนี้รายเดียวกันจะให้เจ้าหนี้รายใหญ่ดูแลหนี้แทนรายเล็กๆ รายเล็กจะยอมหรือไม่ จะแบ่งผลตอบแทนกันอย่างไร เป็นต้น เหล่านี้ไม่ง่ายในการทำแน่นอน
อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามจัดทำมาแล้วเมื่อวิกฤตปี 2540 โดยรัฐบาลสมัยนั้นได้พยายามรวมหนี้เสียทั้งหมด ไม่ว่าหนี้ที่มีหลักประกันหรือหนี้ที่ไม่มีหลักประกันรวมมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อจะได้กำหนดนโยบายลงไปจัดการในจุดเดียว แต่ปรากฏว่าครั้งนั้นก็ล้มเหลวไปโดยปริยาย เพราะการติดตามหนี้นั้น เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ใช้วิธีรีบตามก่อนหรือฟ้องก่อนมีโอกาสจะได้ก่อน และได้คืนใกล้เคียงกับที่ปล่อยกู้ไปมีสูงกว่าการรอส่วนแบ่งที่ไม่ชัดว่าจะได้เท่าไรและจะได้เมื่อไรกันแน่
ในปัจจุบันการติดตามหนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น เพียงแต่การปล่อยกู้ในปัจจุบันมีความเสี่ยงลดลง เพราะการให้สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อประเภทอื่น ธนาคารพาณิชย์ผู้ปล่อยกู้สามารถดูข้อมูลลูกค้าที่ขอสินเชื่อได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ด้วยการดูข้อมูลเครดิตบูโร รวมถึงกรอบกติกาต่างๆ ในการปล่อยกู้ ธปท.ก็มีการปรับปรุงเข้มงวดขึ้น เช่น การไม่ให้ปล่อยกู้เกิน 5 เท่าของรายได้ ไม่ว่าบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ปัญหาคือธนาคารผู้ให้กู้ยึดตามเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ เพราะดูเหมือนยังมีการปล่อยกู้ทั้งสองประเภทนี้ซ้ำกันหลายธนาคารในลูกค้าคนเดียวอยู่
นอกจากนี้ ยังดูข้อมูลรายได้เงินเดือน และคุณสมบัติอื่นๆ ก่อนจะปล่อยกู้ได้ด้วย จึงช่วยลดปัญหาหนี้เสียไปได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อหนี้ที่ปล่อยมีการผิดนัด หรือเป็นหนี้เสียธนาคารก็ต้องยอมรับความเสี่ยงและเร่งตามหนี้ ซึ่งหนี้ที่ไม่มีหลักประกันนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าเจ้าหนี้รายใดจะได้รับชำระก่อนเหมือนหนี้ที่มีหลักประกัน ดังนั้น ธนาคารส่วนใหญ่จึงรีบฟ้องก่อนเพื่อให้ศาลตัดสินก่อน โดยการทวงหรือฟ้องร้องก็จะมีทั้งทำเองหรือให้บริษัทลูกหรือให้บริษัทภายนอก (เอาต์ซอร์ส) ทำ
ปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า สมาคมธนาคารไทยจะหารือกันเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางติดตามหนี้ประเภทสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันในเร็วๆ นี้ หลังจากผู้ว่าการ ธปท.เป็นห่วงปัญหาการติดตามหนี้ที่ซ้ำซ้อน โดยคาดว่าจะมีการลงนามความร่วมมือกับธนาคารสมาชิกได้ประมาณต้นปีหน้า เพื่อแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันให้ทราบว่า ลูกหนี้มีการค้างชำระหนี้กับสถาบันการเงินกี่แห่ง เท่าใดบ้าง และการทวงหนี้จะต้องทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม เพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหารหนี้ ลดปัญหาเอ็นพีแอล ซึ่งโมเดลการดำเนินงานจะเป็นอย่างไรต้องพิจารณาต่อไป
ด้าน ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรีคอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า การรวมศูนย์ติดตามหนี้ในจุดเดียวน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ยาก เพราะธรรมชาติลูกค้ามีวงเงินสินเชื่อกับหลายธนาคาร การติดตามหนี้จะจัดเรียงลำดับหนี้ของแต่ละแห่งอย่างไร ต้องมีหลักการปฏิบัติที่ยุติธรรมต่อเจ้าหนี้ทุกราย แต่หากแนวทางของศูนย์ฯดังกล่าวมุ่งเน้นที่การประนอมหนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์ที่จะแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน แต่หากมีเป้าหมายที่จะควบคุมวินัยการเงินของลูกค้า คิดว่าปัจจุบันธนาคารสามารถตรวจสอบข้อมูลการเงินของลูกค้าผ่านศูนย์ข้อมูลเครดิตได้ และเลือกลูกหนี้ที่มีคุณภาพได้อยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องขอรอดูรายละเอียดก่อน
สอดคล้องกับมุมมองของ ประชา ชัยสุวรรณ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจทวงหนี้สถาบันการเงิน ที่กล่าวว่า ในปกติลูกหนี้จะจ่ายคืนหนี้ให้กับสถาบันการเงินที่ติดตามหนี้ก่อน หรือมีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ถ้าจ่ายไม่ได้ก็ปฏิเสธไม่จ่ายเลยแล้วรอการฟ้องร้อง ดังนั้น หากมีศูนย์ดังกล่าวแล้ว จึงเกิดคำถามว่าจะมีการแบ่งการชำระหนี้ให้กับแต่ละสถาบันการเงินเจ้าหนี้กันอย่างไร เจ้าหนี้รายใดจะได้ชำระก่อน เพราะเจ้าหนี้แต่ละรายก็ต้องการได้รับหนี้เต็มจำนวน และต้องการได้รับชำระก่อนทั้งนั้น ดังนั้น คงเป็นไปได้ลำบากที่เมื่อลูกหนี้มีเงินก้อนหนึ่งจะแบ่งเฉลี่ยการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ทุกราย
ทั้งนี้ จากประสบการณ์ที่ตัวเองทำธุรกิจในบริษัท รีโซลูชั่น เวย์ ซึ่งให้บริการรับรีไฟแนนซ์หนี้กับลูกหนี้ที่มีปัญหาเครดิตบูโร และมีปัญหาหนี้หลายแห่ง โดยจะให้ลูกหนี้รวมหนี้ไว้ที่เดียวกันและบริษัทก็ปล่อยเงินกู้เพื่อไปชำระหนี้นั้น ที่ผ่านมาก็มีปัญหาเนื่องจากติดข้อระเบียบของ ธปท. ยกตัวอย่าง ลูกหนี้มีเงินเดือน 3 หมื่นบาท มีหนี้บัตรเครดิต 5 ใบ มีมูลหนี้ 5 แสนบาท เดิมต้องผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำใบละ 5,000 บาท จำนวน 5 ใบ คือ 2.5 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งไม่สามารถผ่อนชำระได้ แต่ถ้ามีการปรับโครงสร้างหนี้เจรจาลดหนี้ได้ 3 แสนบาท ก็รวมหนี้มาไว้ที่บริษัทเจ้าหนี้รายเดียว และมาผ่อนระยะ 5 ปี คือ ผ่อนเดือนละ 1.5 หมื่นบาท กรณีนี้จะทำให้ลูกหนี้มีความสามารถชำระหนี้ได้
แต่ก็ติดเกณฑ์ของ ธปท.ที่ไม่ให้ปล่อยกู้เกิน 5 เท่าของรายได้เงินเดือน หรือให้บริษัทปล่อยกู้ได้เพียง 1.5 แสนบาท ทำให้ลูกหนี้ที่มาหาทางสะสางหนี้ทั้งก้อนทำไม่ได้ เพราะบริษัทให้กู้เกินเกณฑ์ต่อรายไม่ได้ ดังนั้น ลูกหนี้จะต้องไปหาเงินนอกระบบมาโปะหนี้อีก ในที่สุดหนี้สิ้นก็ล้นพ้นตัวกลับมาพันตัวเองอีก แต่ถ้าศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นสามารถใช้วิธีการจัดการหนี้แบบเบ็ดเสร็จดังกล่าวได้ และดูความสามารถการชำระหนี้ที่แท้จริง ก็น่าจะช่วยลดปัญหาเอ็นพีแอลได้ รวมถึงการช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนลงได้
“ผมว่าการจัดบริหารหนี้ไม่เพียงจะรวมศูนย์การติดตามหนี้ เพื่อลดต้นทุนการติดตามหนี้ของเจ้าหนี้เท่านั้น ต้องหาทางออกให้ลูกหนี้ด้วย ถ้าลูกหนี้ไม่มีความสามารถจ่ายหรือมีภาระการจ่ายมากเกินไป ในที่สุดผ่อนชำระหนี้ไปก็ไม่หลุดจากการเป็นหนี้ ก็กลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีก” ประชา กล่าว
ประเมินจากมุมมองของผู้มีส่วนร่วมในการจัดการหนี้ของหลายฝ่ายแล้ว ดูเหมือนวิธีการที่จะจัดการหนี้ให้กับคนที่ก่อหนี้เกินตัวจะไม่ง่ายในทางปฏิบัติ แต่การมีแนวคิดที่ดีในการสร้างกลไกการทำงานร่วมกันย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่จะให้ดีที่สุด ทุกฝ่ายควรมีวินัยทั้งในการกู้และการให้กู้น่าจะดีที่สุด เพราะดีต่อตัวเองและเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม


