ไกร ชมน้อย เกษตรศิลปินผู้ตามรอยพ่อ
หนึ่งในวังน้ำเขียวโมเดลอันลือลั่น คือสวนลุงไกร ที่นี่เป็นสวนผักปลอดสารพิษที่มีชื่อเสียง
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
หนึ่งในวังน้ำเขียวโมเดลอันลือลั่น คือสวนลุงไกร ที่นี่เป็นสวนผักปลอดสารพิษที่มีชื่อเสียง ขณะที่เจ้าของสวนก็มีเสน่ห์น่านิยม คุณลุงใช้ความอดทนหมั่นเพียร เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พลิกผืนดินและความแห้งแล้งแห่งอีสานปลูกพืชผักเมืองหนาวจนประสบความสำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีฝีไม้ลายมือการเล่นกีตาร์ที่ขจรขจายไปทั่ว กว่าสิบปีที่เกากีตาร์กล่อมแปลงผัก จนถึงปัจจุบันสหายผู้รักในเสียงดนตรีเพิ่มพูนขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคืออดีตเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ที่เดินทางมาร่วมแจมกีตาร์ที่สวนผักลุงไกรมาแล้ว
ไกร ชมน้อย ในวัย 64 ปี เล่าให้ฟังว่า สวนลุงไกรยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มองให้เห็นทุนคือดินและน้ำ เข้าพลิกผืนแผ่นดินด้วยความไม่ย่อท้อตั้งแต่เมื่อกว่า 20 ปีก่อน แม้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อ 7-8 ปีแรกจะเคยท้อใจมาก ทว่าสวรรค์มีตา ในครั้งนั้นทหารช่างจำนวนหนึ่งถูกส่งมาขุดบ่อพระราชทานในโครงการกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ บ่อพระราชทานดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะเดินตามพ่อ ตั้งปณิธานที่จะศึกษาแนวทางของพ่อและทำให้ดีที่สุด
“เราอยู่ได้เพราะเราได้รับมา เพราะฉะนั้นก็เกิดเป็นการให้ บอกเล่า ถ่ายทอดเพื่อต่อยอดต่อไป ทำไปเรื่อยๆ นี่คือคำของพ่อหลวงที่นำมาซึ่งการให้ที่ไม่รู้จบด้วย” คุณลุงไกรเล่า
สิ่งที่คุณลุงไกรยึดถือมากที่สุดและคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับเกษตรกร คือวิธีคิดของพระองค์ท่าน “ขาดทุนแล้วเป็นกำไร” เมื่อก่อนคิดแต่ว่าหักต้นทุนแล้วเหลือเท่าไร คิดเป็นกำไรได้เท่าไร ไม่เคยเผื่อเหลือเผื่อขาดในชีวิต วิธีคิดว่าขาดทุนแล้วเป็นกำไรสำหรับคุณลุงไกรแล้วคือหลักปรัชญาชุบชีวิต วิธีคิดก่อให้เกิดประโยชน์ในการครองตน ไม่เฉพาะเรื่องเกษตรกรรม แต่เป็นทุกเรื่องในชีวิต
ลุงไกรเกิดและโตที่กรุงเทพฯ เป็นชาวกรุงเทพฯ เรียนจบช่างกล สมัยเด็กได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามบิดาซึ่งเป็นช่างออกแบบฉากหนัง วิ่งเล่นในกองถ่ายและโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก วังละโว้บ้าง สหมงคลฟิล์มบ้าง หรือแม้กระทั่งคณะละครจินดา บิดาก็พาไปเสมอๆ จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้คุณลุงซึมซับความเป็นศิลปิน ได้ฝึกหัดเล่นกีตาร์และเป่าทรัมเป็ต รวมทั้งตีกลอง โตขึ้นได้ออกเดินทางไปในหลายประเทศ เช่น อิรัก ซาอุดิอาระเบีย สวีเดน ฯลฯ ทำงานเป็นพนักงานดูแลคลังสินค้า
เมื่อกลับประเทศไทย ได้ลงหลักปักฐานทำอาชีพเกษตรกร เพราะประทับใจเกษตรกรรมในต่างประเทศ ที่แม้แห้งแล้งยังปลูกพืชผลงอกงาม ทุกชีวิตต้องเรียนรู้ ชีวิตลุงไกรก็เหมือนกัน เดินหน้าถอยหลังเป็นเรื่องธรรมดา มาตั้งหลักได้เมื่อดำเนินตามรอยพระบาท อีกไม่ย่อท้อ ศึกษาตีความจากประสบการณ์ชีวิตจริง
“จากแต่ก่อนที่ล้มลุกคลุกคลานเป็นนกที่บินหารังไม่เจอ มาตั้งหลักได้ก็เมื่อเดินตามรอยท่าน ได้มีการรวมกลุ่ม มีการจัดตั้งสหกรณ์ และอีกหลายอย่างที่ทำตามคำพ่อสอนแล้วเรารอด เรามีหลักให้เดินให้ด้นด้วยองค์พ่อหลวงนำทาง ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้”
เกิดมาชาตินี้ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ หากคำพ่อสอนนั้นเองที่ทำให้คุณลุงไกรรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ผลผลิตต่อแปลงพ่อหลวงสอนให้มีความละเอียด ศึกษาคำสอนพ่อจะรู้ว่าพระองค์ท่านสอนให้เราละเอียด ละเอียดๆๆๆ ละเอียดขึ้นไปๆ เป็นลำดับชั้น ยิ่งทำยิ่งละเอียดๆ ขึ้นเรื่อยๆ
“เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ก็ใช้หลักความละเอียด ดำเนินการและกำกับในทุกขั้นตอน ที่สวนลุงไกรคิดผลผลิตไม่ใช่ต่อไร่หรือต่อแปลง แต่คิดเป็นผลผลิตต่อตารางเมตร 1 ตารางเมตรมี 16 กอ หน้าหนาวหน้าร้อนหน้าฝน น้ำหนักกอผักต่างกัน ใส่อะไรลงไปบ้างต้นทุนต่อกอเท่าไร อัตรางอกเท่าไร เราถึงตั้งราคาขายที่เราอยู่ได้ ที่สวนลุงไกรจึงไม่เคยหว่านเมล็ดพันธุ์ พอไม่ได้แล้วโทษฟ้าฝนไปเรื่อย สวนของเราใช้หลักการคำนวณ ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์”
ลุงไกรกล่าวต่อไปว่า ระบบน้ำในเกษตรกรรมนั้นไม่หมู แต่ถ้าคิดตามหลักคำสอนของพระองค์ท่านจะเข้าใจ ดูสารคดีเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริต่างๆ แล้วให้นำมาขบคิด ใช้วิธีคิดต่อ คิดๆๆๆๆ ไม้ล้มอย่าข้าม คิดจากขาดทุนเป็นกำไรและอีกมากมายคำพ่อสอน เวลาตันๆ จะตีโจทย์จากพระองค์ท่านแล้วนำมาปฏิบัติ แก้ปัญหาไปเดินหน้าไป ไม่ย่อท้อ คิดเสียว่า (คำสอน) พ่ออยู่ใกล้ตัวเรา
“ทำคือทำ นี่คือความดีที่เราพึงกระทำ คิดย้อนไป ผมมีพระองค์ท่านเป็นพ่อหลวง ปราชญ์แห่งความพอเพียงที่เป็นกำลังใจ ใครคิดมองเราว่าบ้า ปลูกพืชเมืองหนาวในถิ่นแห้งแล้งแบบอีสาน แต่เราคิดทางแล้วมันเป็นไปได้ แล้วดูซิ มันเป็นไปได้จริงๆ”
ลุงไกรชอบอ่าน บางทีบทความและสารคดีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายก็คนมาเที่ยวสวนผักนั้นเองที่นำมาให้ บางครั้งได้เอาคำสอนของพ่อมาแต่งเป็นเพลง เช่น เพลงขาดทุนคือกำไร เคยทำซีดีแจกผู้มาเที่ยวสวนไปก็มากมาย หลายคนจากนักท่องเที่ยวได้กลายมาเป็นเกลอ ได้แก่ อดีตเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย
“สมัยก่อนตอนท่านประจำอยู่ประเทศไทย ท่านแวะมาเที่ยวที่สวนเรื่อย ครั้งแรกเห็นผมดีดกีตาร์ท่านก็มาขอแจมด้วย ซัดกันเลย สนุกสนานมาก ท่านเป็นคนไม่ถือตัวและให้ความเป็นกันเองกับชาวสวนธรรมดาๆ อย่างผมมาก จนท่านย้ายไปอยู่อินโดนีเซีย 3 ปี กลับมาประเทศไทยท่านก็แวะมา ซัดกันอีก”
คำว่าลุงไกรไปมาแล้วหลายประเทศ ทั้งสวีเดน เยอรมนี ตะวันออกกลาง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอิจฉาคนไทย เพื่อนชาวเยอรมันและชาวออสเตรเลีย เดินทางมาเยี่ยมถึงสวน ในรอบ 7 ปีมานี้ มาทุกปี ล้วนบอกว่า เกษตรกรไทยน่าอิจฉาที่สุด เพราะมีกษัตริย์ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยทุกอย่าง อยากเป็นอย่างลุงไกร อยากเป็นเกษตรกรที่เมืองไทย
“ผมถือว่าผมทำอาหารหล่อเลี้ยงโลก เป็นทานอย่างหนึ่ง วิริยะคือความดีที่เกษตรกรพึงมี หากินอย่างสุจริต ใช้ความขยันอดทนอดกลั้น และสุดท้ายก็คือ ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนยิ่งใหญ่เท่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา นี่คือสิ่งที่ลุงไกรอยากฝากไว้”


