posttoday

ทุนหนีเอเชียลงดอลลาร์ หลัง"ทรัมป์"คว้าประธานาธิบดี

16 พฤศจิกายน 2559

หลังชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกือบแตะจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกือบแตะจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินและตลาดหุ้นของเอเชียปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ไต้หวัน และอินโดนีเซีย ซึ่งมีเงินไหลเข้ามหาศาลในปีนี้หลังช่วงการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป  (อียู) ของอังกฤษเมื่อเดือน มิ.ย.

แม้ความตื่นตระหนกหลังทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอย่างเหนือความคาดหมายจะผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว โดยดัชนี เอ็มเอสซีไอเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นเคลื่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ ดัชนีดังกล่าวปรับลดลงไปแล้วเกือบ 5%

ความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันยังเกิดกับค่าเงินเอเชีย โดยดัชนีค่าเงินเอเชียของเจพีมอร์แกนและบลูมเบิร์กปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดรอบ 7 ปี นำโดยค่าเงินริงกิตของมาเลเซียและค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่อ่อนค่าไป 2.8% แสดงให้เห็นถึงค่าเงินเอเชียที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่ค่าเงินเอเชียเท่านั้น ค่าเงินยูโรยังอ่อนค่าลงไปแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2015 เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ราว 1.07 เหรียญสหรัฐ/ยูโร โดยดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่าค่าเงินดังกล่าวอาจลดลงไปเหลือ 1 เหรียญสหรัฐ/ยูโรภายในปีหน้า สอดคล้องกับข้อมูลจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า บรรดาเทรดเดอร์ให้ความน่าจะเป็นจากเหตุดังกล่าว 45% จากนโยบายการทุ่มงบประมาณและการลดภาษีจะช่วยผลักดันอัตราเงินเฟ้อและทำให้อัตราการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร็วขึ้น

"ตลาดกำลังพูดถึงว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มที่อาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น หรือความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้นโยบายกระตุ้นทางการคลังขนานใหญ่ พวกเราเห็นว่าการผสมผสานนี้จะยังคงเป็นกำลังขับเคลื่อนให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น" ธนาคารบราวน์ บราเธอร์ส  ฮาร์ริแมน ในสหรัฐ กล่าว

ผลตอบแทนบอนด์พุ่งไม่หยุด

"ค่าเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงเป็นผล มาจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยผลตอบแทนที่ปรับเพิ่มขึ้นจะสร้างการไหลของเงินทุนทางลบในภูมิภาคเอเชีย และมากไปกว่านั้นคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์และรัฐบาลของทรัมป์ต่อเอเชีย โดยเฉพาะจีน" คุนก๋อ หัวหน้านักวิจัยธนาคารเอเอ็นแซดในสิงคโปร์ กล่าว

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง 0.41% ในช่วงการซื้อขาย 3 วันก่อนหน้าวันที่ 15 พ.ย. ซึ่งเป็นอัตราการพุ่งขึ้นเร็วที่สุดในรอบมากกว่า 7 ปี ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นแตะ 0% เป็นครั้งแรกหลังอยู่ในแดนลบมาเกือบ 8 สัปดาห์ ด้านพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี 10 ปี ลดลงเล็กน้อยเมื่อวานนี้ หลังขึ้นมาติดต่อกันตลอด 5 วันทำการ ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนสูงสวนทางกับราคาพันธบัตรที่ปรับลดลงไป

จากข้อมูลของไฟแนนซ์เชียลไทมส์ พบว่าการเทขายพันธบัตรทั่วโลกรวมกันรวมเป็นมูลค่าสูงถึง 1-1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 35-52 ล้านล้านบาท)

"พ่อมดการเงิน" ทิ้งทองคำ

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า  โซรอส ฟันด์ แมนเนจเมนต์ บริษัทลงทุนของจอร์จ โซรอส นักลงทุนชื่อดังขายหุ้นทั้งหมด 30.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,050 ล้านบาท) ในโกลด์ แชร์ เอสพีดีอาร์ กองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา และในเวลาเดียวกัน โซรอส ฟันด์ หันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกว่า เช่น กองทุนเพื่อการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและจีนรวม 58 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2030 ล้านบาท) และกองทุนลงทุนตลาดเกิดใหม่อีก 91.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3216 ล้านบาท)

ความเคลื่อนไหวของโซรอสเกิดขึ้นหลังจากราคาทองคำปรับขึ้น 25% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากการทำประชามติของอังกฤษเมื่อเดือน มิ.ย. ส่งผลให้นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม  ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาราคาทองคำ ปรับลงไป 0.3%

ราคาทองคำยังปรับลงไปแตะจุดต่าสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี หลังแนวโน้มที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยเทรเดอร์คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้สูงถึง 92%

เอเชียส่อแววหนีมะกันซบจีน

นโยบายปกป้องการค้าของทรัมป์นอกจากจะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแล้ว ยังสร้างความกังวลให้กับชาติเอเชีย อีกด้วย โดยหนังสือพิมพ์วอลสตรีท  เจอร์นัล รายงานว่า ชาติเอเชียต่างเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาคที่จีนเป็นผู้นำอย่างความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) แทนความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี)

มุสตาฟา โมฮัมเหม็ด รัฐมนตรีการค้ามาเลเซีย เปิดเผยว่า จะให้ความสนใจกับการเจรจาอาร์เซ็ป ในขณะที่ชาติสมาชิกทีพีพีสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานะของข้อตกลงดังกล่าวได้ในการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่เปรู ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ย.นี้ ซึ่งคาดจะได้ความชัดเจนเพิ่มขึ้น

ด้านจีน ระบุว่า จะสนับสนุนการค้าเสรีที่จีนเป็นผู้นำในระหว่างการประชุมดังกล่าว ขณะเดียวกันญี่ปุ่น ระบุว่าอาจจะมีการพิจารณาเจรจาข้อตกลงทีพีพีใหม่โดยปราศจากสหรัฐ แม้นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่นจะยังคงหวังว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้

ข่าวล่าสุด

อดีต สส.ชนนพัฒฐ์ รับน้อยใจถูกโจมตีก่อนเลือกตั้ง พร้อมให้ตรวจสอบ