อุทยานฯเตรียมแปรรูปไม้จันทน์ ส่งช่างสิบหมู่สร้างพระบรมโกศ
พิธีบวงสรวงขอขมาเทพเทวาอารักษ์ เพื่อตัดต้นจันทน์หอมซึ่งยืนต้นตาย หรือเรียกว่าตายพราย ภายในป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
พิธีบวงสรวงขอขมาเทพเทวาอารักษ์ เพื่อตัดต้นจันทน์หอมซึ่งยืนต้นตาย หรือเรียกว่าตายพราย ภายในป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนำไปจัดสร้างพระบรมโกศ ทรงพระบรมศพเหนือพระจิตกาธาน บนพระเมรุมาศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมี วุฒิ สุมิตร รองราชเลขาธิการสำนักราชเลขาธิการ เป็นประธานในพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าชมพิธีการอยู่ในสถานที่ซึ่งจัดไว้
สำหรับขั้นตอนพิธีการ มีการตั้งเครื่องสังเวยเทพเทวาอารักษ์ก่อนที่จะเริ่มพิธีตัดไม้จันทน์หอมจำนวน 12 ต้น จาก 19 ต้น ที่กรมอุทยานฯ ได้คัดเลือกเอาไว้
ต่อมาเมื่อได้ฤกษ์ที่กำหนดในเวลา 14.09 น. วุฒิ สุมิตร รองราชเลขาธิการสำนักราชเลขาธิการ ประธานในพิธี พร้อมด้วย จำลอง ยิ่งนึก ผู้อำนวยการกองราชพิธี สำนักพระราชวัง ฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้างานโหรพราหมณ์ ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เดินทางมายังบริเวณปะรำพิธีที่บริเวณชายป่าใกล้อ่างเก็บน้ำย่านซื่อ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ กุยบุรีประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อประกอบพิธีบวงสรวง
พิธีการเริ่มจากการหลั่งน้ำเทพมนต์จากพระมหาสังข์ จากนั้นโหรหลวงลงแป้งเจิม ลั่นฆ้องชัยบัณเฑาะว์ โหรหลวงให้ประธานหลั่งน้ำเทพมนต์ที่ขวานทอง และเจิมต้นไม้จันทน์หอมใกล้โต๊ะสังเวยพร้อมมีการปักธูปเทียน โดยใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที จากนั้นพรมน้ำเทพมนต์และใช้ขวานทองฟันที่ต้นไม้จันทน์หอมเป็นปฐมฤกษ์ 3 ครั้ง ประโคม และโปรยข้าวตอกดอกไม้ โดยดำเนินการตามขั้นตอนนี้ทั้ง 12 ต้นจนครบ
ทั้งนี้ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้มาบันทึกเหตุการณ์พิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอมครั้งนี้ด้วย
เจ้าหน้าที่กองพิธีการ เปิดเผยว่า สำหรับพระราชพิธีต่างๆ จะต้องยึดหลัก เป็นระเบียบ ขลัง ศักดิ์สิทธิ์และสะอาดเรียบร้อย เชื่อว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดความเป็นสวัสดิมงคล อุปกรณ์ที่นำมาประกอบพิธีทุกอย่างก็ต้องเข้าหลักการดังกล่าว โดยขวานที่ใช้เป็นโลหะพ่นสีทองเพื่อให้เกิดความสวยงาม และขวานที่ใช้ตัดต้นไม้จันทน์หอมครั้งนี้ ก็เคยใช้ตัดไม้จันทน์หอมในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อดำเนินการตัดไม้จันทน์หอมทั้ง 12 ต้นแล้วเสร็จ กรมศิลปากรจะขอให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แปรรูปไม้จันทน์หอมให้ได้ตามขนาดต่างๆ ก่อนส่งมาเก็บไว้ใช้งานตามที่สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กำหนดแบบการจัดสร้าง เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานและการเลื่อยฉลุลวดลายไทย
การเก็บไม้จันทน์หอมไว้ระหว่างรอการจัดสร้างพระบรมโกศไม้จันทน์นี้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเป็นผู้ตรวจสอบอายุไม้ ขนาดไม้ และความสมบูรณ์เหมาะสมไม้จันทน์หอม ซึ่งในเบื้องต้น กองราชพิธี สำนักพระราชวัง คาดว่าไม้จันทน์หอมที่ทำพิธีตัดในครั้งนี้จะเพียงพอใช้ก่อสร้างพระบรมโกศ ทรงพระบรมศพเหนือพระจิตกาธานบน พระเมรุมาศ
หลังจากนี้ กรมอุทยานฯ จะแปรรูปไม้จันทน์หอมทั้ง 12 ต้น และส่งมอบไม้ให้กับกรมศิลปากรประมาณปลายเดือน ธ.ค.นี้ ก่อนกรมศิลปากรจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2560
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ถือเป็นพื้นที่ป่าสำคัญที่มีไม้จันทน์หอม ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้ในการนำมาสร้างพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระศพพระบรมราชวงศ์ชั้นสูง และในงานเกี่ยวเนื่องกับพระศาสนามาแล้วหลายครั้ง
การใช้ไม้จันทน์หอมในพระราชพิธีศพนั้น สมัยโบราณจะนำไม้จันทน์หอมมาเป็นฟืนเผาศพ แต่สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ จะใช้ไม้จันทน์หอมสร้างพระบรมโกศ พระโกศไม้จันทน์ มีการเลื่อยเป็นแผ่นบางๆติดแบบทำการฉลุลาย จากนั้นนำมาประกอบติดกับโครง ซึ่งโบราณจะใช้โครงไม้ แต่ปัจจุบันดัดแปลงมาเป็นลวดเหล็กบุตาข่าย เพื่อความสะดวกในการจัดสร้าง ลวดลายที่ใช้ประกอบมีทั้งสิ้น 35 ลาย อาทิ ลายหน้ากระดาน ลายบัว ลายท้องไม้ บัวคว่ำ บัวหงาย เป็นต้น โดยลายส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของแนวลายใบเทศ คือ ถ้าเป็นกระจังจะเป็นแบบกระจังลายใบเทศ ถ้าเป็นลายกระหนกจะเป็นลายกระหนกแบบลายใบเทศ ซึ่งโดยรวมแล้วจะให้อยู่ในลักษณะของใบลายเทศ ซึ่งเป็นลายเครื่องประดับของไทยที่มีความงดงามและใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
สำหรับบรรยากาศในพิธีบวงสรวงฯ ตัดไม้จันทน์หอมครั้งนี้ ประชาชนที่มาชมพิธีส่วนใหญ่เป็นชาว อ.กุยบุรี ซึ่งเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ทั้งการแก้ปัญหาช้างป่า ทำให้ช้างและคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ จนป่ากุยบุรีมีความอุดมสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน รวมถึงโครงการเพิ่มสันอ่างเก็บน้ำ อ่างเก็บน้ำยางชุม ที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมและทำให้เกษตรกรมีน้ำกินน้ำใช้สำหรับการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน


