posttoday

10 สมาคมเหล็กไทย กระทุ้งรัฐ “คุมเข้มก่อนอนุญาตเปิดโรงงาน”

17 ธันวาคม 2568

กลุ่ม 10 สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กไทย เรียกร้องภาครัฐใช้ความเข้มงวดสูงสุด กำกับดูแลการผลิตเหล็กเส้น ชี้หากปล่อยผลิตซ้ำรูปแบบเดิม เสี่ยงเหล็กไม่ได้มาตรฐานไหลสู่ตลาด

KEY

POINTS

  • 10 สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กไทย เรียกร้องภาครัฐใช้ความเข้มงวดสูงสุดในการกำกับดูแลและพิจารณาอนุญาตให้โรงงานเหล็กเส้นที่เคยถูกสั่งปิดกลับมาเปิดดำเนินการ
  • ชี้หากไม่มีการยกระดับกระบวนการผลิตและการตรวจสอบที่รัดกุม อาจทำให้เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง สร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน
  • เสนอให้ใช้มาตรฐาน มอก. ที่ปรับปรุงแล้วเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนอนุญาตให้โรงงานกลับมาผลิต เพื่อสกัดเหล็กคุณภาพต่ำออกจากตลาด และยกระดับความปลอดภัย

กลุ่ม 10 สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กไทย ออกมาแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ภาครัฐใช้ความเข้มงวดสูงสุดในการกำกับดูแลการผลิตเหล็กเส้นให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยเฉพาะการพิจารณาอนุญาตให้โรงงานที่เคยถูกสั่งปิดชั่วคราวกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง

ย้ำว่าหากไม่มีการยกระดับกระบวนการผลิตและการตรวจสอบที่รัดกุมก่อนอนุญาต อาจทำให้เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง และสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชนในวงกว้าง

ประวิทย์ หอรุ่งเรือง ที่ปรึกษาสมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่ม 10 สมาคมเหล็กไทยได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอข้อมูลสถานการณ์การใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงข้อเสนอเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมในระยะยาว โดยกลุ่มสมาคมมีความคาดหวังว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก” และใช้มาตรฐานที่ได้รับการปรับปรุงแล้วเป็นเงื่อนไขสำคัญ ก่อนจะอนุญาตให้โรงงานใดกลับมาผลิตอีกครั้ง

กลุ่ม 10 สมาคมเหล็กไทย สนับสนุนให้ภาครัฐดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหล็กเส้นและฝุ่นแดงอย่างรอบคอบและโปร่งใส เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันในการกำกับดูแลอุตสาหกรรม และลดข้อกังวลของสังคมต่อคุณภาพสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน ในประเด็นมาตรฐานการผลิต 

ประวิทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับมาตรฐาน มอก. เหล็กเส้นให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานเหล็กเส้นจีน GB 1499-2024 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ กำหนดให้ใช้กระบวนการผลิตจากเตา BOF และ EAF เท่านั้น และกำหนดให้เหล็กเกรดพิเศษสำหรับใช้งานในเขตแผ่นดินไหวต้องผ่านกระบวนการ external refining สะท้อนแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก

“ประเทศไทยควรปรับปรุง มอก. เหล็กเส้นให้ทันต่อบริบทปัจจุบัน เพื่อสกัดเหล็กคุณภาพต่ำออกจากตลาด และเพิ่มเหล็กเกรดที่มีความมั่นใจได้สำหรับการใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เพราะความปลอดภัยของประชาชนไม่ควรถูกนำมาแลกกับต้นทุนที่ต่ำกว่า” ประวิทย์ กล่าว

สำหรับข้อกล่าวอ้างว่าหากไม่มีการผลิตเหล็กด้วยเตา Induction Furnace (IF) จะทำให้ตลาดขาดแคลนเหล็กหรือเกิดการผูกขาด นายประวิทย์ ยืนยันว่า ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น โดยตลอดระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา หลังมีการสั่งปิดโรงงาน IF ที่มีปัญหา ราคาเหล็กเส้นในไตรมาส 4 ปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 19.6 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปีเดียวกันที่อยู่ประมาณ 20.9 บาทต่อกิโลกรัม สะท้อนว่าตลาดยังคงดำเนินไปตามกลไกปกติ ไม่มีภาวะขาดแคลนหรือราคาพุ่งสูง

นอกจากนี้ โรงงานที่ใช้กระบวนการ IF ยังสามารถนำเข้าบิลเล็ตจากกระบวนการ BOF หรือ EAF ซึ่งมีปริมาณเพียงพอในตลาดโลก มารีดเป็นเหล็กเส้นได้ทันที การนำเข้าบิลเล็ตมาตรฐานเพื่อการรีดเหล็กเส้นถือเป็นรูปแบบธุรกิจปกติในอุตสาหกรรม และไม่จำเป็นต้องปิดกิจการแต่อย่างใด

10 สมาคมเหล็กไทย กระทุ้งรัฐ “คุมเข้มก่อนอนุญาตเปิดโรงงาน”

ประวิทย์ หอรุ่งเรือง

กลุ่ม 10 สมาคมเหล็กไทย ขอเรียกร้องให้ภาครัฐเข้มงวดในการกำกับดูแลโรงงานเหล็กเส้นที่ใช้กระบวนการ IF ซึ่งจะขอเปิดดำเนินการ ต้องปฏิบัติตาม มอก. อย่างเคร่งครัดครบถ้วน โดยเฉพาะข้อกำหนดด้านวัสดุ กระบวนการผลิต และส่วนประกอบทางเคมี ซึ่งต้องมีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ หรือ refining ด้วยเตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace – LF) ซึ่งเป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานหรือขั้นต่ำที่จำเป็น

หรือหากใช้เทคนิคอื่นที่เทียบเท่าหรือดีกว่า ต้องผ่านการพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการวิชาการของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ก่อนอนุญาตให้เปิดดำเนินการ

ข่าวล่าสุด

ปักหมุด The House 94 ชาร์จพลังแห่งความสุขฉลองคริสต์มาส และ ปีใหม่