ภูมิพลมหาราช กษัตริย์ผู้เป็นกำลัง ของแผ่นดิน
มหาราช หรือในภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า The Great ถือเป็นสมัญญานามต่อท้ายพระนามของกษัตริย์ หรือผู้ปกครอง
มหาราช หรือในภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า The Great ถือเป็นสมัญญานามต่อท้ายพระนามของกษัตริย์ หรือผู้ปกครอง ที่ได้ทำภารกิจอย่างมากมายช่วยเหลือผู้คนทั้งด้านการรบ การแก้ไขปัญหาภายในประเทศ ตลอดจนการรักษาเอกราชของประเทศ รวมทั้งคงไว้ด้วยความยุติธรรมอันเป็นแบบอย่างที่ดี
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ประชาชนทั่วประเทศพร้อมใจกันยกย่องเทิดทูนให้พระองค์ทรงเป็น “มหาราช” ในใจของประชาชน แต่ตามขั้นตอนการเติม “มหาราช” ต่อท้ายพระนามนั้น ทางรัฐบาลกำลังดำเนินการจัดทำให้ถูกต้องตามกระบวนการ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่า การใช้คำว่า มหาราช นั้นจะเป็นไปตามกฎหมายและวิธีดำเนินการของรัฐบาล รัฐบาลที่ผ่านมาเคยเสนอพระองค์ท่านไปแล้ว พระองค์ท่านทรงยังไม่เห็นชอบ ยังไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา พระองค์ท่านรับสั่งว่าเป็นเรื่องของประชาชนและรัฐบาลที่จะทำต่อไป
“ตอนนี้ยังใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าพระองค์ทรงรับทราบแล้ว เรื่องเป็นมหาราชหรือไม่เป็นมหาราชเป็นเรื่องของรัฐบาลและประชาชนจะต้องทำถวายพระองค์ท่าน ซึ่งรัฐบาลอยู่ในขั้นตอนตรงนี้อยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา “ภูมิพลมหาราช” โดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ได้อ่านประกาศถวายพระราชสมัญญาตอนหนึ่งว่า
“จึงขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตประกาศความสมานฉันท์ พร้อมเพรียงกันเฉลิมพระเกียรติ และถวายพระราชสมัญญาเป็น มหาราช” และ “...ขอพระมหาราชเจ้าเผยแพร่พระบรมกฤษฎาเดชานุภาพ คุ้มเกล้า คุ้มกระหม่อม เหล่าพสกนิกร ตลอดจิรัฐิติกาล เทอญ”
ทั้งนี้ ถือเป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี พระองค์ที่ 3 ที่ได้รับพระราชสมัญญา “มหาราช” แต่เป็นมหาราชองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ได้รับพระราชสมัญญาจากมติของปวงชนชาวไทย โดยในการสำรวจประชามติ เมื่อปี 2530 มีการผูกพระราชสมัญญาขึ้น 15 พระราชสมัญญา ประชาชนจำนวน 34 ล้านคน เลือกพระราชสมัญญา “สมเด็จพระภูมิพลมหาราช” ขณะที่ 6 ล้านคนเลือก “สมเด็จพระภัทรมหาราช”
“ภูมิพลมหาราช” มีความหมายว่า กษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน
และ “ภัทรมหาราช” หมายความว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นท่ี่รักของปวงชน ซึ่งก่อนวันฉัตรมงคล 5 พ.ค. 2530 เคยมีความพยายามที่จะทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งจะเป็นผลเมื่อมีการสำรวจประชามติจนได้ฉันทามติจากประชาชน
ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เล่าว่า การถวายพระราชสมัญญานาม “มหาราช” เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอดีต หากจำไม่ผิดเกิดขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์จักรี เป็นช่วงที่ฝ่ายนักประวัติศาสตร์ หรือฝ่ายข้าราชการเสนอสมัญญานามมหาราชแก่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงได้รับสมัญญานามมหาราช
พระองค์ต่อมาเป็นรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้รับสมัญญาว่า “ปิยมหาราช” แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก และแปลว่า “พระพุทธเจ้าหลวง” เหตุผลที่เสนอสมัญญาว่ามหาราชเพราะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำคุณงามความดีแก่แผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
ศรีศักร กล่าวว่า การถวายพระราชสมัญญา พระเจ้าตากสินมหาราช เกิดขึ้นในรัฐบาลสมัย “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” ได้ประกาศให้วันที่ 28 ธ.ค. ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่พระองค์ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยุคนั้นยังมีมติให้ถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และได้พร้อมใจกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี
ทั้งนี้ ศิลป์ พีระศรี อดีตคณบดีคณะประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งทางราชการได้ประกอบพระราชพิธีเปิดและถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2497 และในวันที่ 28 ธ.ค. 2497 จึงมีรัฐพิธีเปิดเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะต่อมาทางราชการกำหนดให้วันที่ 28 ธ.ค. เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นั่นคือความเป็นมาของการถวายสมัญญาพระมหากษัตริย์ไทย เช่นเดียวกับรัชกาลที่ 9 รัฐบาลปัจจุบันสามารถดำเนินการได้เหมือนสมัยจอมพล ป.


