ไม่มีชัยชนะ บนซากปรักหักพัง
เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่สำคัญที่จบลงได้ด้วยพระบารมีที่พสกนิกรคนไทยยังคงจดจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้คือ เหตุการณ์พฤษภา 35
เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่สำคัญที่จบลงได้ด้วยพระบารมีที่พสกนิกรคนไทยยังคงจดจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้คือ เหตุการณ์พฤษภา 35
ในครั้งนั้นเกิดการชุมนุมต่อต้านการเข้าดำรงตำแหน่งของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร จนกลายเป็นเหตุจลาจลเกิดความเสียหายทั่วไปใน กทม. และมีทีท่าว่าความเสียหายจะขยายต่อไปและนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงวันที่ 17-20 พ.ค. 2535 เกิดความรุนแรงและมีประชาชนบาดเจ็บเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองอีกครั้ง โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.สุจินดา กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการประท้วง เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 20 พ.ค. 2535 โดยพระราชทานพระราชดำรัสเตือนสติ มีใจความสำคัญดังนี้
“ปัญหาของวันนี้ ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้คือความปลอดภัย ขวัญดีของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่า ประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งให้กับคนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นว่า ประเทศไทยนี้ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความคิด ที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย
ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในครั้งนั้นกลายเป็นคำสอนอมตะ เพราะทุกครั้งที่การเมืองมีความขัดแย้ง ทุกฝ่ายจะมีการหยิบยกพระราชดำรัสนี้มาช่วยกันเตือนสติเพื่อให้นึกถึงส่วนรวม


