กกต.แฉพิรุธเบิกจ่าย 29 ล. โยงเมซไซอะ มัด ยุบ ปชป.
การไต่สวนพยานนัดที่สอง ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของการใช้เงินกองทุนพัฒนาการเมืองผิดวัตถุประสงค์ 29 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ส.ค. พยานทั้ง 5 ปากเป็นเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือ นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการด้านกิจการพรรคการเมือง นายกฤชเอื้อวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการพรรคการเมือง นายอนุชิต ปราสาททอง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนโดยรัฐ และนางวราพรณ ป้อมเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบบัญชีและทรัพย์สิน
การไต่สวนในช่วงเช้า นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความผู้ถูกร้อง ได้พุ่งเป้าไปซักถามพยานทั้งนายธนิศร์ และนายกฤช กรณีที่เคยให้การยืนยันว่าการแสดงรายงานบัญชีพรรคการเมืองถูกต้องไม่มีความผิดปกติ และให้ยกคำร้อง 3 ครั้ง ในชุดกรรมการสอบสวนที่มีนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธาน แต่ทำไมถึงกลับมาเปลี่ยนแปลงคำให้การในช่วงหลังที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่มี ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ เป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังพยายามซักถามถึงเหตุผลของ กกต.ที่เปลี่ยนท่าทีแบบกะทันหันเห็นควรให้ยุบประชาธิปัตย์ ทั้งที่ประชุมเพียงไม่ถึงชั่วโมง ในวันที่ 6 เม.ย. ว่าเกี่ยวข้องกับแรงกดดันจากที่กลุ่มเสื้อแดงบุกเข้ามากดดันถึง กกต.หรือไม่
นายธนิศร์ ชี้แจงว่า การที่ยืนยันความถูกต้องในการแสดงบัญชีงบประจำปี 25472548 ว่ามีความถูกต้องนั้น เป็นเพียงการยืนยันถึงความถูกต้องตามรายละเอียดเอกสารที่ทางบริษัทสอบบัญชีตรวจสอบ ไม่ได้เป็นผู้ไปตรวจสอบในรายละเอียดด้วยตัวเอง พบว่าการยื่นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่ยื่นรายละเอียดมา โดยมีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงการทำโครงการเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 จาก 8 ล้านบาท เป็น 27 ล้านบาท และเป็นการยื่นหลังจากมีการจ่ายเงินให้บริษัท เมซไซอะ ไปแล้ว 23 ล้านบาท ทั้งที่มีการได้รับอนุมัติจริงเพียงแค่ 19 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังคิดว่าการทำหน้าที่ของ กกต.ไม่น่าจะถูกกดดันจากกลุ่มเสื้อแดง เพราะที่ผ่านมาก็มีกลุ่มการเมืองเข้ามากดดันก่อนหน้านี้โดยตลอด
ช่วงบ่ายนายอนุชิต ขึ้นเบิกความว่าพบพิรุธในการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ 3 เรื่องคือ1.การดำเนินการของพรรคประชาธิปัตย์มีการทำโครงการก่อนที่โครงการจะได้รับอนุมัติ 2.ขนาดป้ายหาเสียงไม่ได้ทำตามรายละเอียดจากที่ได้รับจาก กกต. และ 3.ไม่พบการทำสัญญาจ้างในการทำป้ายหาเสียง
ในประเด็นเรื่องการทำป้ายหาเสียง นายวิรัตน์ กัลยาศิริ สส.สงขลา ผู้ทำหน้าที่ซักค้านได้นำป้ายหาเสียงฟิวเจอร์บอร์ดสมัยการเลือกตั้ง 2548 มาเป็นพยานวัตถุ พร้อมซักค้านให้เห็นว่า กกต.ยังไม่เข้าใจในประเด็นการทำป้ายหาเสียงของพรรคการเมือง ทั้งการผลิต และการไม่ทำสัญญา
ขณะที่พยานปากสำคัญคือ นางวราพร ณ ป้อมเพชร ได้นำเอกสารขนาดใหญ่ แผนผังเส้นทางการเงินในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเบิกความ พร้อมอธิบายว่า เส้นทางการเงินบริษัท เมซไซอะ มีรายได้ 3 ทาง คือ 1.จากทีพีไอ 36 ล้านบาท 2.จากที่รับจ้างทำให้กับประชาธิปัตย์ 8 โครงการ 227 ล้านบาท และ 3.รายได้จากแหล่งอื่นอีกจำนวน 26 ล้านบาท
โดยเงินนี้ได้ถูกกระจายไปยัง 4 กลุ่ม ได้แก่ นายประจวบ สังข์ขาว และญาติ 2.กลุ่มผู้บริหารและ สส.ภาคใต้ ประชาธิปัตย์ 3.กลุ่มญาติอดีตเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ 4.เส้นทางการทำธุรกิจจริงๆ
ทั้งนี้ จากหลักฐานทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า มี ความผิดปกติของเส้นทางการเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะที่พรรคประชาธิปัตย์จ่ายให้บริษัท เมซไซอะ เป็นเช็ค 9 ฉบับ เป็นเงินกว่า 226 ล้านบาท การตรวจสอบมีการขอเอกสารจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมบังคับคดี จึงพบว่ามีการสร้างระบบบัญชีขึ้นมาเพื่อดึงเงินจากบริษัท ทีพีไอ ออกมาเพื่อทำให้เหมือนทุกอย่างถูกต้องแต่มีความผิดปกติ
เช่น กรณีบริษัท เมซไซอะ นำเงินออกไปเพื่อนำไปชำระหนี้ ทั้งที่ไม่เคยมีมูลหนี้ด้วยกันมาก่อน หรือการออกใบกำกับภาษีโดยมิชอบ ผ่าน 3 บริษัท เช่น บริษัท ชัยเชาวโรจน์ บริษัท พีซีจี ที่พบว่าสิ้นปี 2547 ทั้งสามบริษัทไม่มีการประกอบการจริง กรมสรรพากรจึงสั่งเพิกถอนใบกำกับภาษี
นางวราพร ยังเบิกความต่อว่า ในส่วนของเงิน 29 ล้านบาท คณะกรรมการ กกต.ตรวจสอบแล้วพบว่า การใช้เงินแบบก่อหนี้ผูกพันก่อนที่ กกต.จะอนุมัติเงินให้ประชาธิปัตย์ เมื่อเดือน ม.ค. 2548 โดยมีหลักฐานคือสั่งจ่ายเป็นเช็ค 2 ล้านบาท ให้บริษัท เมซไซอะ เพื่อทำป้ายแต่ไม่ระบุจำนวนและเป็นป้ายอะไร
นอกจากนี้ จากคำให้การของ นางวาศิณีทองเจือ พยานที่จะมาเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย. พบว่า มีการตกลงทำป้ายกันในราคา 5 แสนบาท แต่กลับให้ออกเช็ค 2 ล้านบาท และพบว่ามีการนำเช็คไปให้นายนิคม ซึ่งเป็นคนขับรถของผู้บริหารพรรคคนหนึ่ง
สำหรับการซักค้าน นางวราพร ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายให้ นายไชยวัฒน์ไตรยสุนันท์ ขึ้นทำหน้าที่ซักค้าน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่การทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชี แต่กลับจบด้านนิติศาสตร์ และไม่ได้สอบเป็นผู้ตรวจบัญชี
นอกจากนี้ ยังสอบถามถึงลำดับเครือญาติ ว่า นางวราพร ณ ป้อมเพชร เป็นภรรยาของนายศิริชัย ณ ป้อมเพชร หรือไม่ และเป็นญาติฝ่ายไหนของนางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มารดาของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร
โดยนางวราพร ตอบสวนขึ้นมาทันทีว่า ภรรยาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็สืบตระกูลมาจาก ณ ป้อมเพชร เช่นเดียวกับ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ สำหรับตัวไม่ทราบว่าเป็นญาติกันอย่างไร ตนเองเป็นแค่สะใภ้
นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเคารพศรัทธา นายชวน หลีกภัย ตั้งแต่สมัยที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่ช่วงรับราชการอยู่กระทรวงสาธารณสุข และส่วนตัวเป็นคนชุมพร และที่บ้านเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด


