posttoday

ฎีกายืนยกฟ้องอดีตผอ.รพ.วชิรปราการคดีซื้อขายไต

28 กันยายน 2559

ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง อดีตผอ.รพ.วชิรปราการ พร้อมพวก คดีซื้อขายไต เมื่อปี 40 ชี้เจ้าของอวัยวะสมองตายก่อน

ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง อดีตผอ.รพ.วชิรปราการ พร้อมพวก คดีซื้อขายไต เมื่อปี 40 ชี้เจ้าของอวัยวะสมองตายก่อน 

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.ย. ที่ห้องพิจารณา714 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีผ่าตัดปลูกถ่ายไต หมายเลขดำ ด.1242/2545 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ และนางหนูแดง ดีโยธา กับนายเจริญ ดีโยธา มารดาและบิดาของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ที่ถูกผ่าตัดไตออกไป เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรปราการ จ.สมุทรปราการ, นพ.วีระเดช เลิศดำรงลักษณ์ ศัลยแพทย์, นายนันทวิทย์ ธงไชย อดีตผู้จัดการ รพ.วชิรปราการ และ นพ.วิวัฒน์ ถิระพานิช ศัลยแพทย์ เป็นจำเลยที่1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอม

โดยคดียื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 เม.ย.45 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 24-26 ก.พ.40 เวลากลางวัน จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารหนังสืออุทิศให้อวัยวะของ รพ.วชิรปราการ โดยให้นายเจริญ ดีโยธา และนายสมเกียรติ ตันชนะชัย พ่อและสามีของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชน ลงรายมือชื่อไว้ ต่อมาจำเลยที่1และจำเลยที่4ได้ร่วมกันผ่าตัดเอาไตทั้งสองข้างและตับของคนไข้ออกไปและจำเลยที่ 1-2 ยังร่วมกันผ่าตัดเอาไตของนางนาง นงค์พรมมา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนออกไป ขณะที่คนไข้ทั้งสองยังใส่เครื่องช่วยหายใจและยังไม่ถึงแก่ความตาย เพื่อนำไปปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยรายอื่น เป็นเหตุให้คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตาย

ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่22ก.พ.48ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า แม้หนังสืออุทิศอวัยวะ จะมีการเติมข้อความด้วยลายมือว่า "ตับ"ลงในเอกสาร แต่พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันในรายละเอียดว่าเหมือนลายมือของจำเลยที่1จึงมีข้ออันควรสงสัยว่าจำเลยที่1จะเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าวลงในหนังสืออุทิศอวัยวะของคนไข้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่1ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม

ส่วนในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นได้ว่า มีการใช้ยาหรือมีการทำโดยประการใดๆ ของพวกจำเลย ทำให้คนไข้ทั้งสองแกนสมองตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนที่จะมีการผ่าตัดนำอวัยวะ (ไตและตับ) ออกไป

และเมื่อวันที่ 23 ก.ย.53 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฎีกา

ขณะที่ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว โจทก์ร่วมฎีกาถึงปัญหาการเสียชีวิตตามกฎหมาย ศาลเห็นว่า การตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องเป็นการทำให้ตาย แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติลักษณะการตายไว้ชัดแจ้ง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ซึ่งแพทยสภา ออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัยโดยมีประเด็นเรื่องแกนสมองถูกทำลายจนสิ้น ไม่สามารถทำให้ระบบหัวใจทำงานได้และร่างกายขาดออกซิเจน หากขาดเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายจะขาดการตอบสนอง ซึ่งกรณีของผู้ป่วยทั้งสองแพทย์ได้ตรวจถึง 2 ครั้งทิ้งช่วงเวลาห่างกัน 10 ชั่วโมงพบว่าผู้ป่วยไม่หายใจทั้งสองครั้ง จึงลงความเห็นในบันทึกว่าแกนสมองถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และก่อนผ่าตัดอวัยวะวิสัญญีแพทย์ได้ตรวจแล้วผู้ตายไม่หายใจ

การที่จำเลยที่ 1 , 2 และ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้ตายทั้งสองที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจเป็นการฆ่าได้อีก ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้เดินทางมาศาล

ขณะที่ นพ.สิโรจน์ มีคนใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ภายหลังฟังคำพิพากษา นพ.สิโรจน์ ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี มีเพียงทนายความ กล่าวว่า หมอได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง เพราะหมอเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน 20 ปีที่ผ่านมาหมอก็เป็นทุกข์ แต่ศาลได้ให้ความยุติธรรมแล้ว

ด้าน นพ.วีระเดช ศัลยแพทย์ จำเลยร่วม กล่าวสั้นๆ ว่า "เรียบร้อยดีครับ"


 

ข่าวล่าสุด

“พลเอกณัฐพล”วาง 5 เงื่อนไขถกGBCกัมพูชา ยันไทยป้องกันตัวเอง