เทพรัตนแห่งแผ่นดิน (65)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย พระองค์ทรงเริ่มหัดดนตรีไทย
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย พระองค์ทรงเริ่มหัดดนตรีไทย ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนจิตรลดา โดยทรงเลือกหัดซอด้วงเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก และได้ทรงดนตรีไทยในงานปิดภาคเรียนของโรงเรียน รวมทั้งงานวันคืนสู่เหย้าร่วมกับวงดนตรีจิตรลดาของโรงเรียนจิตรลดาด้วย หลังจากที่ทรงเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะอักษรศาสตร์โดยทรงเล่นซอด้วงเป็นหลัก และทรงเริ่มหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นๆ ด้วย แต่ที่โปรดทรงอยู่ประจำ คือ ระนาด ซอ และฆ้องวง โดยเฉพาะระนาดเอก ทรงเริ่มเรียนระนาดเอกอย่างจริงจังเมื่อปี 2528 หลังจากการเสด็จทรงดนตรีไทย ณ บ้านปลายเนิน กรุงเทพมหานคร
ในปี 2522 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ ร่วมงานชุมนุมดนตรีไทยของสถาบันระดับอุดมศึกษา ครั้งที่ 12 ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร เป็นครั้งแรก ซึ่งในครั้งนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพจัดงาน นับแต่นั้นได้เสด็จฯ ไปทรงร่วมงานอย่างสม่ำเสมอ
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า “...งานดนตรีไทยอุดมศึกษา ได้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน มีการพัฒนารูปแบบการจัดงาน และมีสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นทุกครั้ง แสดงให้เห็นว่านักศึกษาระดับอุดมศึกษาสนใจที่จะฝึกฝนศิลปะดนตรีไทย สถาบันต่างๆ สนับสนุนมากขึ้น นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ ซาบซึ้ง และพร้อมใจช่วยกันบำรุงรักษาศิลปะดนตรีไทยจะช่วยให้นักศึกษาพัฒนาจิตใจมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ช่วยให้ดำรงตนอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีความสุข...”
และในฐานะที่ทรงเป็นทูลกระหม่อมอาจารย์ ทรงดนตรีไทยร่วมกับนักเรียนนายร้อยชมรมดนตรีไทย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ทุกวันที่ 23 ต.ค. ซึ่งเป็นวันปิยมหาราช พร้อมทั้งทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงเพื่อแสดงความรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยขึ้นในประเทศไทยด้วย
พระองค์ยังได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในงานดนตรีไทย และทรงร่วมบรรเลงดนตรีกับนักดนตรีทุกวัยในหลายโอกาสให้สาธารณชนได้ชื่นชมเป็นขวัญและ
กำลังใจแก่ผู้มีใจรักและประสงค์จะสืบสานมรดกไทยชิ้นนี้ให้คงอยู่ต่อไป พระองค์ยังมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและเผยแพร่ศิลปะไทยทั้งสาขาดุริยางคศิลป์และนาฏศิลป์ ให้เป็นที่รู้จักทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศให้คนไทยรู้สึกซาบซึ้งและภาคภูมิใจความเป็นชาติอารยะที่มีศิลปะประจำชาติ ให้ชาวต่างชาติได้ชื่นชมศิลปะไทยที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้รู้จักประเทศไทยในด้านที่ดีงามมีอารยธรรม ทรงนำคณะดนตรีและนาฏศิลป์ไทยเผยแพร่ยังต่างประเทศ รวมทั้งทรงร่วมทำหน้าที่นักดนตรีในวงด้วยทุกครั้งซึ่งได้รับความสนใจอย่างสูง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชา ซึ่งมีศิลปะด้านดนตรีและการแสดงคล้ายคลึงกับไทย บางคราวจะทรงร่วมบรรเลงดนตรีกับวงดนตรีที่ประเทศเจ้าภาพจัดแสดงถวาย นอกจากเป็นการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรมแล้ว ยังได้ประโยชน์ในการสานสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศด้วย
นอกจากดนตรีไทยแล้ว พระองค์ยังทรงดนตรีสากลด้วย โดยทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ 10 พรรษา และทรงฝึกเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสามารถทรงทรัมเป็ตโซโลนำวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรงระนาดฝรั่งนำวงดุริยางค์ในงานกาชาดคอนเสิร์ต
ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงทั้งไทยเดิมและไทยสากลไว้เป็นจำนวนมากเพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์คือเพลง “ส้มตำ” จากนั้นพระราชทานบทร้องต่างๆ เป็นครั้งคราวมีเพลง “เฒ่าเห่” ซึ่งเป็นบทกล่อมนอนสอนใจเด็กที่มีชื่อเสียงมาก จนสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยขอพระราชทานไปพิมพ์เผยแพร่ และเพลง “ปลาทองเถา” “เต่ากินผักบุ้ง” “อกทะเล” และ “พระอาทิตย์ชิงดวง” ที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงที่นิยมใช้กันในวงการดนตรีไทยบ่อยมาก
ด้วยพระองค์มีพระราชหฤทัยรักดนตรีไทยและทรงตระหนักว่าดนตรีไทยมีอิทธิพลต่อจิตใจ สามารถช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนและช่วยให้สมาธิ จึงทรงพยายามส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการสอนดนตรีไทยในโรงเรียน ทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ทำให้มีการสอนนักเรียนเล่นดนตรีไทยในหลายๆ โรงเรียน ทั้งในเมืองหลวงและจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศเมื่อมีการจัดแสดงดนตรีไทย พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในงาน ทั้งทรงร่วมบรรเลงกับเด็กนักเรียนหลายครั้ง รวมทั้งส่งเสริมให้มีการประกวดดนตรีไทยในหลายระดับ โดยมีพระราชดำรัสว่า
“การหัดให้เด็กเล่นดนตรีนั้นมีประโยชน์ ทั้งในด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ฝึกให้เด็กรู้จักความสามัคคี ความพร้อมเพรียงกัน การจัดประกวดดนตรีช่วยให้ค้นพบนักดนตรีรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ ผู้จะเป็นกำลังสำคัญในการสืบสานศิลปะดนตรีไทยต่อไป”
อีกทั้งยังทรงตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเรียนการสอนดนตรีไทยแก่เด็กด้วยความเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ และทรงแนะวิธีการสอนดนตรีไทยเด็ก อาทิ อายุไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญที่จะเริ่มสอนเด็กหัดเล่นดนตรี แต่ไม่ควรบังคับหรือหักโหมตั้งแต่ต้น เพราะอาจทำให้เด็กมีความฝังใจที่ไม่ดีเกี่ยวกับการหัดเล่น การเลือกเครื่องดนตรีให้เด็กที่เพิ่งเริ่มฝึกควรเลือกเครื่องระดับธรรมดา ที่สำคัญต้องเลือกเป็นเลือกเครื่องที่เสียงไม่เพี้ยน ผู้สอนควรมีวิธีฝึกให้เด็กฟังระดับเสียงของเครื่องดนตรีให้จำได้แม่นยำ การสอนเด็กให้ร้องเพลงไทย ควรแยกให้เด็กฝึกร้องทีละคนเพื่อจะได้แก้ไขตรงที่ร้องผิดหรือเพี้ยนไป
ทรงมีพระราชกระแสว่า “สำหรับเด็กเล็กควรให้ร้องโดยมีดนตรีคลอแบบลำลอง เพราะฝึกง่ายไม่น่าเบื่อควรเลือกเพลงให้เหมาะกับเด็ก รวมทั้งเนื้อหาของเพลงด้วย และควรสอนให้เด็กรู้จักเคารพนบไหว้ครูผู้สอน รู้จักกตัญญูรู้คุณ รู้จักการปฏิบัติตนต่อครูบาอาจารย์ อันเป็นความงามทางวัฒนธรรมของไทยที่ไม่มีประเทศใดเสมอเหมือน นอกจากจะทรงส่งเสริมให้ฝึกเด็กเล่นดนตรีไทยแล้ว ยังทรงส่งเสริมอาชีพการทำเครื่องดนตรีไทยด้วย ทรงเห็นว่าการประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยก็เป็นงานศิลปะและเป็นภูมิปัญญาไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้”


