ความสุขกับระบอบเผด็จการ
“อยู่ในคุกแล้วปลอดภัย” มีใครอยากอยู่บ้าง? เจเรมี เบนธัม (Jeremy Bentham, 1748-1832) นักปรัชญาชาวอังกฤษ
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“อยู่ในคุกแล้วปลอดภัย” มีใครอยากอยู่บ้าง?
เจเรมี เบนธัม (Jeremy Bentham, 1748-1832) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งลัทธิอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ที่มีแนวคิดว่า “อะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินความสุขได้มากที่สุด หรืออะไรก็ตามที่ป้องกันความเจ็บปวดหรือความทุกข์ได้ดีที่สุด สิ่งนั้นคืออรรถประโยชน์หรือประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ต้องการ” ทั้งนี้เบนธัมยังใช้ “ปริมาณ” หรือการวัดประโยชน์เหล่านี้ จาก “จำนวนคนที่ได้รับประโยชน์” ว่าอะไรก็ตามที่คนหมู่มากพึงพอใจ สิ่งนั้นก็คือ “อรรถประโยชน์” เช่นกัน
แนวคิดของเบนธัมสอดคล้องกับแนวคิดประชาธิปไตยในยุคเริ่มต้น ที่วัดความเป็นประชาธิปไตยจากจำนวนประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากผู้ปกครอง อันนำมาสู่การ “แอบอ้าง” ของนักการเมืองแนวประชานิยมที่ใช้แนวคิดนี้ “อวดอ้าง” ว่าพวกเขาจำเป็นต้องดำเนินนโยบาย “ลด-แลก-แจก-แถม” ให้แก่ประชาชน เนื่องจากเป็นความพึงพอใจของประชาชน และพวกเขามีความสุขกับการที่รัฐได้ทุ่มเทให้อย่างนั้น เช่นเดียวกันกับนักเผด็จการในหลายๆ ประเทศที่มีแนวคิดเช่นนี้ ที่ชอบ “โอ้อวด” ว่าการที่พวกเขาต้องเข้ามายึดอำนาจก็เพื่อสร้างความสุขและป้องกันภัยอันตราย (จากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง) ให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม ก็มีนักคิดแนวอรรถประโยชน์นิยมอีกผู้หนึ่ง คือ จอห์น สจวร์ต มิลล์ (John Stuart Mill, 1806-1873) ผู้มีแนวคิดแตกต่างจากเบนธัม เพราะมิลล์เน้น “อิสรภาพของปัจเจก” คือเสรีภาพของแต่ละบุคคล มากกว่า “พหุสุข” หรือความสุขความพอใจร่วมกันอย่างที่เบนธัมนำเสนอ มิลล์ย้ำว่ามนุษย์หากขาดเสียแล้วซึ่งอิสรภาพก็หาใช่ประโยชน์ที่แท้จริงไม่ และโลกนี้ก็จะขาดความเจริญก้าวหน้า เพราะเป็นความสุขที่ว่า “ตามๆ กันไป” หรือเป็นความสุขที่ “ถูกยัดเยียด” จากผู้อื่น มิฉะนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ในสังคมหมู่มากที่มักจะสั่งสอนให้คนคิดหรือทำอะไรเหมือนๆ กัน ดังนี้ก็จะไม่มีใครคิดอะไรที่สร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์สุขใหม่ๆ และก้าวไกลออกไปจากสิ่งเดิมๆ
กระนั้นแนวคิดของนักอรรถประโยชน์นิยมก็ค่อนข้าง “หยาบ” เพราะไม่ได้เน้น “ศีลธรรม” หรือ “จริยธรรม” เพียงแต่ขอให้ทำหรือให้ได้ในสิ่งที่เกิดประโยชน์สุขก็เรียกว่าเป็นสิ่งที่ “มีประโยชน์” แล้ว ดังที่กระแสการเมืองโลกในยุค “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” และเศรษฐกิจแบบตลาด ที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรี” ได้ครอบงำโลกมาเป็นเวลากว่าศตวรรษ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อถึง “ประโยชน์สุขร่วมกัน” ตามแนวคิดของเบนธัม และ “เสรีภาพในทางเศรษฐกิจ” ตามแนวคิดของมิลล์ ท้ายที่สุดในตอนปลายของศตวรรษที่ 20 แนวคิดทั้งสองนี้ก็ถึงคราวล่มสลาย ด้วยกระแส “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” และ “สวัสดิการนิยมแบบร่วมรับผิดชอบ”
ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ก็คือ การให้สิทธิอำนาจแก่ประชาชนมากขึ้น ลดบทบาทของภาครัฐ และควบคุมกิจกรรมของชนชั้นปกครอง นั่นก็คือกระแสการตื่นตัวของประชาธิปไตยฐานราก ที่ประชาชนผู้ถูกปกครองแสดงความกระตือรือร้นที่จะจัดการแสวงหาและบริหารจัดการประโยชน์สุขด้วยตนเอง ในขณะที่เศรษฐกิจสมัยใหม่ก็เน้นประโยชน์สุขที่ประชาชนต้องเข้ามาจัดการดูแลด้วยตนเอง ด้วยการกระจายประโยชน์สุขนั้นอย่างเป็นธรรมแบบที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ให้มีใครเอารัดเอาเปรียบกันและกัน
การที่ยกทฤษฎีทางวิชาการมาอ้างอิงนี้ เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยกำลัง “เดินทางวกวน” เพราะถ้าใครที่ติดตามพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทยมาพอสมควร จะพบว่าในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 คณะราษฎรซึ่งเป็นชนชั้นนำได้โฆษณาชวนเชื่อว่าการเอาอำนาจมาให้ประชาชนนั้น “จะนำโลกพระศรีอาริย์มาสู่สังคมไทยได้อย่างแท้จริง” (ถ้อยคำในตอนท้ายจากแถลงการณ์ของคณะราษฎรฉบับที่ 1) แต่แล้วเราก็ปกครองด้วย “อำมาตยาธิปไตย” คือการครอบงำของทหารมาถึง 40 ปี กระทั่งวันที่ 14 ต.ค. 2516 หลายคนก็คิดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง (ในยุคนั้นก็คือประชาธิปไตยแบบตัวแทน) น่าจะเกิดขึ้นได้เสียทีในประเทศไทย แต่แล้วด้วยความประพฤติแย่ๆ ของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง ทำให้ทหารคืนสู่อำนาจอีกในปี 2534 แต่ก็ถูกตะเพิดไปในเดือน พ.ค. 2535 กระทั่งมีกระแสปฏิรูปการเมือง และวาดหวังว่าการเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็งภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 แต่ก็มาเจอระบอบทุนสามานย์ทำลายไป อันตามมาด้วยการรัฐประหารอีก 2 ครั้ง ในปี 2549 และ 2557 เพื่อล้มระบอบดังกล่าว
คนไทยและสังคมไทย “เดินทางวกวน” อยู่ภายใต้กระแสแนวคิดที่ “สับสน” ว่า “เราจะเอาอะไรกันแน่” เพราะในอดีตที่เราพยายามเรียกร้องหาประชาธิปไตยแบบตัวแทน (14 ต.ค. 2516) กระทั่งอยากสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (ปฏิรูปการเมือง 2540) แต่พอเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปล่อยให้เผด็จการทหารเข้ามาแก้ไขปัญหา แล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ “พึงพอใจ” กับประโยชน์สุขที่ทหารแบ่งปันหรือจัดสรรให้ ที่รวมถึงการให้ความหวังในฝันผ่านทาง “โรดแมป” ต่างๆ
คำถามสำหรับคนที่มองโลกแบบเป็นจริง ก็คือ ความสุขที่ทหารมอบให้กับคนไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น “เป็นความสุขที่แท้จริง” หรือไม่ คนไทยเต็มใจแล้วหรือที่จะยอมมอบอิสรภาพทั้งหลายเพียงเพื่อไม่อยากถูกปกครองโดยนักการเมืองเลวๆ ในระบอบประชาธิปไตย แล้วเราจะเชื่อใจได้หรือไม่ว่าทหารจะให้ความสุขไปอีกนานเท่าไร และ “ทหารดีๆ” จะอยู่ปกครองประเทศไทยไปได้อีกนานเท่าใด
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” จะไม่มีคนเบื่อบ้างหรือ?


