รู้ทัน
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ชายหนุ่มวัยกลางคน ในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศ เดินเเอ็คอาร์ต ท่าทียียวนเข้ามาในร้านอาหาร เหน็บอาวุธปืนข้างตัว อ้างรู้จักคนใหญ่คนโต อวดเบ่งขอค่าคุ้มครองบ้าง ขอตรวจลิขสิทธิ์สินค้าบ้าง หรือเเม้เเต่ขอกินฟรีบ้าง
พฤติกรรมทหาร-ตำรวจเก๊ กำลังระบาดไปทั่วเมือง คำถามคือ ประชาชนอย่างเราจะรับมือกับมิจฉาชีพในคราบเครื่องแบบอย่างไร
มีเงิน2,000 ก็ปลอมตัวเป็น"ตำรวจ-ทหาร"ได้
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องหมายแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ ตราประทับ ตลอดจนสติกเกอร์ของหน่วยงานราชการ มีขายเกลื่อนกลาดหาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะตึกแถวบริเวณด้านหลังกระทรวงกลาโหม ด้านข้างกระทรวงมหาดไทย ถนนอัษฎางค์ เขตพระนคร ที่ถือเป็นแหล่งกระจายสินค้าประเภทนี้
เจริญ ถาเเก้ว อายุ 44 ปี ผู้ดูเเลร้าน “สยามภัทร 2” บอกว่า คนขายที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานจะทราบดีว่า คนไหนตัวคือเจ้าหน้าที่ตัวจริง คนไหนเป็นพวกตัวปลอม
“บางคนมาซื้อปอกปืน แต่ดันหยิบปืนอัดลมออกมาโชว์ พวกนี้มันส่อพฤติการณ์ กลิ่นไม่ค่อยดี บางพวกมาซื้อกุญแจมือ มันบอกว่า ขอซื้อที่ล็อกหน่อย ทหารตำรวจเขาไม่พูดเเบบนี้กัน อีกจุดสังเกตคือถุงเท้า ตำรวจตัวจริง ขาดถุงเท้าไม่ได้ ต้องใส่
พวกข้าราชการตัวจริง เวลามาซื้อของ มักมากัน 2-3 คนหรือมาเป็นกลุ่ม พูดจาฉะฉาน รู้เรื่อง บอกความต้องการชัดเจน เอาเสื้อพลาง ชุดเกราะ เปลสนามว่าไป ไม่เอิกอัก บางคนเราถามต้องการอะไรครับ เอาไปใช้อะไร เป็นตำรวจ ทหารหรือข้าราชการ ตัวปลอมจะชะงัก คิดนาน ตอบไม่ถูก ร่ก พวกมิจฉาชีพมันจะมีกลิ่น แต่มาไม่ค่อยบ่อยหรอกลักษณะนี้"
เจริญ บอกให้ฟังว่า ผู้ซื้อบางรายอาจไม่ใช่ทหารตำรวจแต่ต้องการสินค้าเพื่อนำไปใช้ในกองถ่ายละคร ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ร่วมงานเลี้ยงตามธีมงานของผู้จัด ซึ่งคนขายไม่มีสิทธิห้ามความต้องการของผู้ซื้อได้อยู่แล้ว
“เราไม่ทราบเจตนาที่เขาซื้อได้ทุกคน ถึงแม้จะรู้ว่าคนนี้ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่ทหาร แต่ห้ามไม่ได้หรอก ของซื้อของขาย อย่างพวกกองถ่ายเขาซื้อทีเป็นสิบๆ ชุด คนทั่วไปก็ซื้อกันได้ เรื่องแอบอ้างมันไม่ใช่หน้าที่คนขายในการคัดกรอง”
พ่อค้าหนุ่มแสดงทัศนะว่าถึงแม้การเข้าถึงชุดเครื่องแบบจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การนำไปใช้หลอกลวงในสถานการณ์จริง ถือเป็นงานยากที่จะเลียนแบบท่าทีลักษณะของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารได้อย่างแนบเนียนในยุคปัจจุบัน
“ตัวปลอมมันทำไม่เหมือนหรอก เราต้องขอดูบัตร ถามมันเยอะๆ มันก็ร่กแล้ว คนไม่จริงยังไงก็หวั่น พวกนี้ท่าทางมันจะกร่างกว่าปกติ และทำตัวรู้มาก รู้จักคนนั้น คนนี้ พูดไว้ก่อนกลัวคนไม่รู้”
พลกฤต บาลมงคล เจ้าของร้าน 3 พลพานิชย์ ให้ความเห็นว่า ผู้ค้ามีหน้าที่ขายของ จะให้คอยคัดกรองคนหรือตรวจสอบผู้ซื้อเบื้องต้น คงเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่คุ้มที่จะทำ ซึ่งคนคิดร้ายนั้นมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
“เราไม่รู้หรอกว่า คนที่มาซื้อ เขามีวัตถุประสงค์อะไร บางคนเห็นเสื้อผ้าทหารเป็นแฟชั่น งานประจำปีหลากหลายบริษัทก็ฮิตจัดธีมเครื่องแบบทหารกัน บางคนไปเดินป่าหรือออกค่าย ก็มาหาซื้อรองเท้า เสื้อผ้าที่ดูแข็งแกร่งใส่ มันลำบากในการคัดกรอง จะขอดูบัตรข้าราชการเขาก่อนเลือกซื้อก็ไม่ใช่หน้าที่เรา หรือกำหนดให้คนซื้อใส่เครื่องแบบมาซื้อเท่านั้นก็คงไม่ได้ ในฐานะผู้ขาย เราก็ขาย ไม่ใช่หน่วยงานที่จะมานั่งตรวจสอบ”
เจ้าของร้านหนุ่มบอกด้วยว่า เครื่องเเต่งกายครบชุดของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด มูลค่ารวมเเล้วประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น
สำหรับประชาชนทั่วไปหากเจอเจ้าหน้าที่จากทางราชการเข้ามาแสดงท่าทีไม่สุภาพ อวดเบ่ง หรือเอารัดเอาเปรียบ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก บอกเสียงเข้มหากไม่มั่นใจว่า กำลังเผชิญหน้ากับทหารหรือตำรวจตัวจริงหรือไม่ ให้เริ่มจากขอดูบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่และขอถ่ายภาพบัตรเก็บไว้ เพื่อนำส่งให้หน่วยงานพิสูจน์
“ประชาชนไม่ต้องกังวลหรือเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ มีสิทธิขอดูบัตรประจำตัว...ตัวจริงเขาพร้อมยืนยันแสดงตัวตนอยู่แล้ว โดยตามหลักเกณฑ์หากเป็นทหาร ทุกครั้งที่ลงพื้นที่เข้าตรวจค้นความผิดปกติ จะมีหนังสือระบุคำสั่งชัดเจน สังกัดหน่วยงานใด ได้รับมอบหมายให้ทำเรื่องอะไร เพื่อแสดงตัวตน อำนาจหน้าที่ ไม่เช่นนั้น ก็แยกไม่ออกใครเป็นใคร และใครก็แอบอ้างทำหน้าที่ได้หมด”
พ.อ.วินธัย ยืนยันว่า ทหารไม่มีสิทธิไปข่มขู่หรือกร่างกับประชาชน หากพูดจาไม่สุภาพ หรือแสดงท่าทีที่มีลักษณะเสื่อมเสียต่อความเป็นเจ้าหน้าที่ แม้กฎหมายไม่ได้ระบุความผิด แต่ในทางระเบียบวินัยของราชการ ทำไม่ได้ ถือว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และผู้บังคับบัญชาไม่ปกป้องคนพวกนี้แน่นอน เพราะกองทัพต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน
สำหรับประเด็นเรื่องการเข้าถึงเครื่องแบบเจ้าหน้าที่และตราสัญลักษณ์ได้ง่ายนั้น โฆษกกองทัพบก เห็นว่า ไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากตามกฎหมาย ประชาชนไม่มีสิทธิแต่งเครื่องแบบอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กล้าตัดสินใจซื้อเครื่องแบบทหารมาใส่แอบอ้างหาผลประโยชน์
ด้าน พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กล่าวยอมรับว่า การลอกเลียนแบบบุคคลิกท่าทางของนายตำรวจและทหารนั้น มิจฉาชีพสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ ซึ่งสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ก็นับเป็นเรื่องยากที่จับได้ว่า ‘ใครจริง ใครปลอม’
“ถ้าเป็นตำรวจด้วยกันเอง คงดูกันออกและสอบถามจนหาความผิดปกติกันได้ แต่ประชาชนทั่วไป ดูยาก เพราะฉะนั้นวิธีรับมือ คือ ตั้งสติ อย่ากลัว ยิ่งกลัวมันยิ่งทำ ใครมากร่าง มาเบ่งใส่ ขอดูบัตร สอบถามเขาเลย นอกเครื่องแบบก็ถาม คุณมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร สังกัดอะไร ผู้บังคับบัญชาชื่ออะไร มีหนังสือคำสั่งมาไหม อย่ากลัวตำรวจถ้าไม่ผิด เรามีสิทธิที่จะถาม คนบริสุทธิ์ใจเขาตอบได้อยู่แล้ว”
กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยวิธีสังเกตตำรวจปลอม ดังนี้
1.ดูจากการแต่งกาย บุคลิกท่าทางไม่มีมาดลุกลี้ลุกลน
2.พูดจากร่่างเกินไปมักแสดงตนและนำเสนอว่าเป็นตำรวจบ่อยครั้ง
3.ติดเครื่องหมายประดับหน้าอกแพรแถบและป้ายชื่อไม่เรียบร้อย
4.ใส่เครื่องแบบเต็มยศบ่อยครั้งผิดปกติแม้กระทั่งใส่ไปเที่ยว
5.ทรงผมยาวกว่าปกติไม่ใช่รองทรงต่ำแบบไม่ยาวมาก
6.หน้าตา อายุ วัย ไม่สัมพันธ์กับยศหรือตำแหน่งที่อ้างถึง
7.ตอบคำถามรุ่นหรือหลักสูตรที่จบไม่รู้เรื่อง
8.บัตรข้าราชการเป็นบัตรกระดาษ นำรูปถ่ายมาติดและเคลือบพลาสติก
9.ตอบคำถามเกี่ยวกับการทำงานที่ต้นสังกัดแบบอ้อมค้อมหรือปกปิด
10.ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล ตำแหน่ง เบอร์โทรศัพท์ ได้ทางเว็บไซต์ของกองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่งชุดเลียนแบบเจ้าหน้าที่โทษถึงคุก
การแต่งการเลียนแบบเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจนั้นมีความผิดชัดเจนตามกฎหมาย โดย พ.ร.บ.เครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 มาตรา 6 ระบุ ว่า
“ผู้ใดแต่งเครื่องแบบทหารตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแต่งเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ในราชการอยู่ โดยไม่มีสิทธิจะแต่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน - 5 ปีและถ้าการกระทำเช่นว่ามานี้ได้กระทำภายในเขตซึ่งประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ดี ในเวลาสงครามก็ดี ในเวลาบ้านเมืองมีเหตุฉุกเฉินก็ดี หรือเพื่อกระทำผิดทางอาญาก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี”
นอกจากความผิดฐานจงใจแต่งเครื่องแบบทหารโดยพลการแล้วใน พ.ร.บ.ดังกล่าวยังระบุถึงความผิดของผู้ที่แต่งกายเลียนแบบทหาร จนสร้างความเสื่อมเสียและเกิดความเกลียดชังกับทหาร โดยระบุไว้ในมาตรา 6 ทวิ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2485 ระบุว่า
“ผู้ใดแต่งกายโดยใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบทหารตามพระราชบัญญัตินี้ หรือคล้ายเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ในราชการอยู่ อันอาจนำความดูหมิ่นเกลียดชัง หรือความเสื่อมเสียมาสู่ราชการทหารก็ดี อันอาจทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นทหารก็ดีผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และถ้าการกระทำเช่นว่านี้ได้กระทำภายในเขตซึ่งได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ดี ในเวลาสงครามก็ดี ในเวลาบ้านเมืองมีเหตุฉุกเฉินก็ดี หรือเพื่อกระทำความผิดทางอาญาก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี”
ขณะที่ พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ประกาศเอาไว้ดังนี้
มาตรา 108 ผู้ใดแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงห้าปี
มาตรา 110 ผู้ใดแต่งกายโดยใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบตำรวจ และกระทำการใดๆ อันทำให้ ราชการตำรวจถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ราชการตำรวจ หรือทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนเป็นตำรวจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146 ระบุด้วยว่า ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบ หรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน...หรือไม่มีสิทธิใช้ยศ ตำแหน่ง... กระทำการเช่นนั้น เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สังคมไทยและโลกวันนี้พัฒนาเกินกว่าที่ประชาชนจะยอมให้พวกโจรใจบาป แต่งตัวหรือพูดจายกเมฆมาแอบอ้างหลอกลวงกันได้ง่ายๆ แล้ว อย่ากลัว เเละกล้าที่จะสอบถาม


