ไทยพาณิชย์เพิ่มความมั่นคง กรุงศรีฯบุกเช่าซื้อรถยนต์
โดย...แน่งน้อย ชัยรัตนมโนกร
โดย...แน่งน้อย ชัยรัตนมโนกร
หุ้นธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจจากนักลงทุนอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่เห็นได้ชัดเจนจากมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นติดอันดับ 1-3 และราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2559 หลังจากที่ถูกเมินไประยะหนึ่งเมื่อนักลงทุนผิดหวังกับกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2559 ของธนาคารบางแห่ง เกิดจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตามนโยบายตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเตรียมความพร้อมในอนาคตท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าธนาคารจะเพิ่มความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติของธนาคารส่วนใหญ่ยังออกมาดีขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลง ทำให้อัตราดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้น และยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ดีด้วย ในช่วงนั้นแรงซื้อยังเข้าหาหุ้นกลุ่มแบงก์อย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมาสะดุดเมื่อธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดกำไรสุทธิ 12,817 ล้านบาท ลดลง 400 ล้านบาท หรือประมาณ 3% จากไตรมาส 2/2558 รวม 6 เดือน กำไรสุทธิ 23,363 ล้านบาท ลดลง 11.4% เทียบกับกำไรสุทธิ 26,369 ล้านบาท
ไทยพาณิชย์ชี้แจงว่ากำไรที่ลดลง 3% มาจากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเป็นพิเศษในไตรมาสนี้จำนวน 8,512 ล้านบาท คิดเป็น 1.84% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 65.9% จากไตรมาส 2/2558 ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็น 130% จาก 109.8% ณ สิ้นปี 2558 และ 122.8% ณ สิ้นไตรมาส 1/2559
เหตุผลที่ตัดสินใจเพิ่มค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญดังกล่าว เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการกลับรายการสำรองประกันภัยของบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต หรือ SCB Life และต้องการทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมีความแข็งแกร่งขึ้นเป็น 130% หากคิดเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานดีขึ้นเป็น 24,391 ล้านบาท เทียบกับกำไร 21,494 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น และการกลับรายการสำรองประกันภัยของ SCB Life
แต่เบื้องหลังของการตั้งสำรองสูงเป็นพิเศษในไตรมาส 2/2559 มาจากมติของคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ที่ต้องการให้ฝ่ายบริหารมองการตั้งสำรองเผื่อไปข้างหน้าด้วย เพราะเศรษฐกิจคงไม่ดี นักลงทุนต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสำรองมากขึ้น และยังมีการเปรียบเทียบกับธนาคารใหญ่ด้วยกัน ซึ่งเห็นว่าธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยมีเปอร์เซ็นต์การตั้งสำรองที่สูงกว่า จึงยินดีจะจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่าไทยพาณิชย์
นอกจากนั้น คณะกรรมการยังต้องการให้ฝ่ายบริหารหันกลับมาให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นธุรกิจหลักจากที่ผ่านมาให้ความสนใจกับการหารายได้จากค่าธรรมเนียมมากจนเกินไป
“บอร์ดต้องการเห็นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง จึงต้องนำกำไรที่เคยใช้จ่ายเงินปันผลสูงๆ ที่ผ่านมา มาตั้งสำรองมากขึ้น หากทำอย่างนี้แล้วเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหันมาสนใจลงทุนในหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น” กรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุดธนาคารไทยพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล วงเงิน 6,000 ล้านบาท และบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง มูลค่า 4,500 ล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม
ด้าน อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าที่จะรักษาผลประกอบการปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 1.65 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิ 47,182 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีการตั้งสำรองลดลงจากครึ่งปีแรก เมื่ออัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 130% นับว่าเป็นเงินสำรองที่เพียงพอรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจแล้ว
สำหรับธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 2/2559 จำนวน 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 914 ล้านบาท หรือ 45% และรวม 6 เดือนปีนี้กำไรสุทธิเติบโตถึง 113% เป็น 8,056 ล้านบาท เพราะปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 54,924 ล้านบาท คิดเป็น 4.2% จากสิ้นปี 2558 โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อรายย่อยเติบโต 5.5% จากความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น 3.5% และ 2.5% ตามลำดับ ทำให้สามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อได้สมดุล
คนในวงการธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์วิเคราะห์ให้ฟังว่าธนาคารกรุงศรีฯ ที่มีธนาคารโตเกียว-มิตซูบิชิเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 76% ได้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้นำไปขยายสินเชื่อ โดยเฉพาะเช่าซื้อรถยนต์ จนสามารถเสนอเงื่อนไขที่ดีให้แก่ลูกค้าได้มากกว่าผู้นำตลาดอย่างกลุ่มธนชาต และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกำไรที่รับรู้ในปีแรกๆ ของการปล่อยสินเชื่อ
แต่ขอเตือนว่าการเร่งปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะมีความเสี่ยงสูงในอนาคต เพราะธรรมชาติของธุรกิจนี้จะเริ่มมีหนี้เสียเกิดขึ้นในปีที่ 2 หรือ 3 ของการผ่อนชำระ
ดังนั้น ขอแนะนำให้ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะลงทุนในหุ้นธนาคารแต่ละแห่งพร้อมวิเคราะห์ที่มาและที่ไปของกำไรด้วย


