ชีวิตที่เพียงพอ
พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา เป็นนายแบงก์ที่โลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยชอบเป็นข่าวคราวมากมาย ตรงกันข้ามกับพี่ชายของเขา
พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา เป็นนายแบงก์ที่โลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยชอบเป็นข่าวคราวมากมาย ตรงกันข้ามกับพี่ชายของเขา ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา นักวิชาการและนักลงทุน รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินรายการให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจการเงินผ่านสื่อมวลชนต่างๆ ที่มีคนรู้จักมากมาย
“ผมชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย และพอใจกับชีวิตของตัวเองระดับหนึ่ง” กรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ กล่าวและหัวเราะเมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ชาย
“ผมเป็นลูกชายคนเล็ก ไม่ค่อยมีแรงกดดันเหมือนพี่ๆ เลยไม่ค่อยตั้งใจเรียน โดนพี่ชายล้อเป็นประจำว่าเป็นคนเดียวในบ้านที่สอบเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ไม่ได้ ผมเน้นเรียนอย่างมีความสุข และสนุกด้วย เลยไม่ได้ซีเรียสทำให้ตัวเองเครียด ชั้นมัยธมปลายก็ไปเรียนที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย มีเพื่อนเยอะแยะ เรียนที่นี่เหมือนได้ไปปรับทัศนคติของชีวิต ผมมีเพื่อนหลากหลายแบบ มีตั้งแต่เรียนเก่งมากจนถึงคนที่เรียนห่วย มีลูกคนรวยลูกคนจน คละกันไป สนุกมาก เป็นสังคมอีกแบบ ในบ้านมีแต่คนเรียนเก่ง เคร่งเครียดตลอดเวลา” พิศิษฐ์ กล่าว
หลังจากนั้นเขาก็เอนทรานซ์เข้าเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเพื่อนร่วมคณะของ เกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากนั้นก็บินไปเรียนต่อปริญญาโท Management & Human Relation ที่มหาวิทยาลัย Abilene สหรัฐอเมริกา
“ผมไปเรียนอย่างสนุกสนานไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เขาให้เกณฑ์ขั้นต่ำเท่าไหร่ผมก็ทำแค่ผ่าน แต่พอเรียนจบจะเรียนปริญญาเอกเขามีกฎว่าคนที่จะสอบเรียนต่อดุษฎีบัณฑิตจะต้องทำเกรด 2 เทอมสุดท้ายก่อนจบให้ได้ 3.5 ผมก็เร่งตัวเองขึ้นมาจนทำได้ แต่มันไม่ทันเพราะไม่ได้มหาวิทยาลัยดี พี่ชายล้อว่าสอบได้มหาวิทยาลัยไม่ดัง ก็เลยไม่เรียนต่อปริญญาเอก กลับมาทำงานดีกว่า” พิศิษฐ์ กล่าว
หลังจากกลับมาเขาเข้าทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทยก่อนเพราะเพื่อนชวน ทำอยู่พักหนึ่งก็ลาออกไปเป็นผู้จัดการค้าเงินตราต่างประเทศ JPMorgan Chase ทำอยู่ 2 ปีก็ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและผู้จัดการวิเทศธนกิจ ธนาคารเครดิต อะกริกอล อินโดสุเอช จากนั้นก็เปลี่ยนงานอีก 2-3 แห่ง ก่อนจะพักอาชีพลูกจ้างกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ไปบริหารโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง ก็อยากทำงานแบงก์อีก เลยคุยกับภรรยาว่า อยากทำงานเพื่อส่วนรวม
“ภรรยาผมเขาไม่ว่าอะไรที่ไม่ช่วยเขาบริหารกิจการครอบครัว แต่มีข้อห้ามที่ภรรยาสั่งคือ ห้ามเล่นการเมืองเด็ดขาด ด้วยเหตุผลถ้าจะเล่นการเมืองคุณต้องเป็นคนจนก่อน ลงไปคลุกคลีเพื่อจะได้เข้าใจเขา ถ้าไม่รู้ซึ้งถึงความลำบากอย่างแท้จริง จะไม่มีวันเข้าใจวิธีคิดและเข้าใจคนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย แล้วจะไปแก้ปัญหาไปช่วยเขาได้อย่างไร ผมก็พยายามทำงานส่วนรวมในแบบของผมให้ดีที่สุด ตามที่ตั้งใจอยากทำ” พิศิษฐ์ กล่าว
ตำแหน่งงานสุดท้ายก่อนที่พิศิษฐ์จะมาสมัครและได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ คือ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นแบงก์รัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีลูกค้าทุกประเภท
“ผมได้อะไรจากการทำงานที่ธนาคารออมสินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิดผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อลูกค้ากลุ่มรากหญ้าให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เข้าใจวิธีคิดของทางรัฐบาลและเข้าใจประชาชน ได้ใกล้ชิดลูกค้ารากหญ้าเป็นการเรียนรู้ชีวิตคนหลายรูปแบบที่เร็วและดีที่สุดอย่างที่บอกว่าถ้าคุณไม่เข้าใจความลำบาก คุณจะไม่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง” พิศิษฐ์ กล่าว
คนดลใจของพิศิษฐ์ ที่เขาชื่นชมและถือเป็นแบบอย่างในการทำงาน คือ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้เป็นตำนานของนักเศรษฐศาสตร์ที่ทุกคนนับถือ
“ผมชอบวิธีคิดของ ดร.ป๋วย ทั้งที่ไม่เคยได้สัมผัสท่าน แต่อ่านงานของท่าน ผมชื่นชมท่านมาก ท่านเป็นคนทำจริง คิดจริง ในใจมีแต่ความอยากพัฒนา อยากช่วยคนไทยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แนวคิดท่านช่วยพัฒนาประเทศได้มาก ทำให้ผมได้คิดว่าหากเราช่วยเหลือประเทศชาติให้ดีขึ้นได้ เราก็ควรทำ เอาความรู้ความสามารถที่มีมาช่วยคนอื่น อย่าเอาไปเก็บไว้ที่บ้าน ช่วยกันคนละไม้คนละมือประเทศชาติก็จะดีขึ้น พัฒนาขึ้น” เขากล่าว
ช่วงที่ได้สัมผัสชีวิตของลูกค้าคนยากทั้งหลาย ทำให้พิศิษฐ์คิดเสียดายที่ส่งลูกชายให้ไปเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศหลังจากจบชั้นมัธยมปลายเร็วไป อาจจะทำให้ความคิดแคบไป ไม่เข้าใจสังคมไทย
วันนี้พิศิษฐ์ได้มายืนอยู่บนจุดที่เขาพอใจในชีวิต และที่เอ็กซิมแบงก์นี้อาจเป็นการทำงานอย่างมืออาชีพในฐานะมือปืนรับจ้างที่สุดท้ายของเขา เขาจึงตั้งใจจะทำงานนี้ให้ดีที่สุด เป็นนอตตัวเล็กๆ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติ


