posttoday

ข้อคิดจากอองซานซูจี

30 มิถุนายน 2559

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

การแสดงปาฐกถาพิเศษของ อองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา ที่กระทรวงต่างประเทศเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2559 ให้ตัวแทนนิสิตนักศึกษาฟังในหัวข้อ “เมียนมา อาเซียนและโลกหนทางข้างหน้า” เนื่องในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดให้ข้อคิดอะไรกับคนฟังและคนไทยบ้าง

ผมขอยกคำกล่าวของเธอกล่าวตอนหนึ่งที่ว่า “แม้โลกจะมีความท้าทาย แต่เราต้องเชื่อมั่นว่า อนาคตจะดีขึ้น...ไทยและเมียนมามีความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถย้ายไปจากกันได้ จึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สามัคคี และมิตรภาพ โดยประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา ทำให้ได้เรียนรู้ว่าคุณสมบัติของมนุษย์ที่สำคัญคือ ความเมตตากรุณา ซึ่งภาษาไทยและเมียนมาใช้
รากศัพท์ของคำว่า “กรุณา” เหมือนกัน เมื่อเราต้องเชื่อมั่นก่อนว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีความหวังและความกลัวเช่นกัน หากมีความกรุณาแล้ว จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ สำหรับการพัฒนาไปข้างหน้าที่เกิดจริงนั้นจะต้องมีสันติภาพก่อน”

เธอกล่าวอีกตอนหนึ่งว่า “ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความขัดแย้งในเมียนมามาตลอด แต่ขณะนี้เรากำลังทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนความขัดแย้งเป็นสันติภาพความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าใจ” เธอพูดถึงกระบวนการสร้างสันติภาพในเมียนมาจนทำให้เมียนมามายืนอยู่ในวันนี้ได้ว่า “กระบวนการสร้างสันติภาพและสันติสุขนั้น เราจะต้องดูต้นเหตุของความขัดแย้งและอยากให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพื่อให้กระบวนการสันติภาพเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง”

เธอพูดสมกับเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทุกคำพูด มีความหมายกินใจ เธอพูดอีกตอนหนึ่งว่า “มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่างและความเหมือนกัน จึงต้องแสวงหาจุดร่วมในความเหมือนเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้” ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ทั้งการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ

ความขัดแย้งระหว่างทหารเมียนมาและกลุ่มประชาธิปไตยนำโดย ซูจี ที่มาทำงานการเมืองต่อจากบิดาของเธอที่ถูกลอบสังหารเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายทศวรรษอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2517 ที่ทหารเมียนมายึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลทหารบริหารประเทศ มหาอำนาจตะวันตกกดดันเมียนมาทุกวิถีทางเพื่อให้ฟื้นกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก โดยใช้ซูจีเป็น “สัญลักษณ์ประชาธิปไตย” สู้กับเผด็จการทหารเมียนมา แต่รัฐบาลทหารเมียนมาอยู่มาได้ด้วยนโยบายพึ่งพาตนเอง เธอถูกทหารจับตัวไปคุมขังบ้าง กักขังไว้ให้อยู่ในบ้านพักห้ามติดต่อกับใครบ้าง ทหารเคยเปิดให้มีการเลือกตั้ง แต่พอแพ้ก็ล้มกระดานดื้อๆ สุดท้าย ทหารและฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยซูจีก็สามารถตกลงกันได้ แต่กว่าจะถึงจุดนี้ก็ใช้เวลาหลายสิบปี

ขณะที่ คสช.มีแผนฟื้นคืนประชาธิปไตยในไทยตามโรดแมป 2-3 ปีที่กำหนดไว้นั้น รัฐบาลทหารเมียนมามีโรดแมปเพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยมาก่อนแล้ว และใช้เวลามากกว่าของ คสช.หลายเท่า รัฐบาลทหารเมียนมาได้ประกาศ “โรดแมปสู่ประชาธิปไตยที่มีวินัย” ของเมียนมาเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2546 แต่จะเป็นเพราะฉลาดเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ขงเบ้งแห่งเมียนมาจึงถูกเตะกระเด็นจากกองทัพซ้ำยังถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหาร้ายแรง และหายไปจากบัญชีรายชื่อผู้มีอำนาจในเมียนมาอย่างสิ้นเชิง โรดแมป 7 ขั้น หรือแผนปฏิรูปการเมือง เพื่อนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมามีดังนี้

(1) จัดประชุมสภาแห่งชาติ ซึ่งระงับไปตั้งแต่ปี 2529 (สภาแห่งชาติประกอบด้วยผู้แทนเมียนมาละผู้แทนชนเผ่าต่างๆ ในเมียนมา) (2) หลังจากประชุมสภาแห่งชาติประสบความสำเร็จ จึงค่อยเริ่มกระบวนการที่จำเป็นเพื่อให้เมียนมาเป็นประเทศ  “ประชาธิปไตยที่มีวินัยและแท้จริง” อย่างเป็นขั้นตอน (3) ร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางที่สภาแห่งชาติตกลงกำหนดขึ้น (4) จัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ (5) จัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม  (6) เปิดประชุมรัฐสภา (7) สร้างประเทศเมียนมาที่ทันสมัย พัฒนาและเป็นประชาธิปไตย

แน่นอน เพื่อสร้างหลักประกันให้ประเทศเดินไปตามโรดแมปนี้ กองทัพประกาศว่าทหารต้องมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของประเทศ รัฐธรรมนูญเมียนมาจึงให้มีทหารนั่งอยู่ในสองสภายังหาทางกันไม่ให้ซูจีเป็นประธานาธิบดี เพราะเธอแต่งงานกับชาวต่างชาติ ซึ่งเธอและพวกต้องยอมเพื่อให้มีการเลือกตั้ง และค่อยหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลัง ในการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เธอยอมเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็มีการประสานงานกับนายพลเต็งเส่ง ประธานาธิบดีเมียนมา เพื่อประโยชน์ของประเทศตลอดมาในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 พรรคของเธอได้รับชัยชนะเด็ดขาดและเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แม้เธอไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ก็เหมือนกับเป็น“ผู้จัดการรัฐบาล” ในขณะที่ฝ่ายทหารยอมให้มีรัฐบาลพลเรือนเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เป็นการประนีประนอมกันระหว่างทหารกับซูจี ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด แต่มองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

คนเมียนมาเจอปัญหาการเมืองภายในที่ร้ายแรง วุ่นวายมากกว่าเมืองไทยหลายเท่า มีชนชาติต่างๆ เป็นร้อยเผ่าต่อสู้กับรัฐบาลกลางเพื่อแยกเป็นรัฐอิสระ ซ้ำยังมียักษ์ใหญ่ยืนค้ำหัวอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แค่ชนชาติเมียนมาด้วยกันเองก็ยังแตกกันยับ โดยเฉพาะทหารกับพลเรือน นักศึกษาและนักประชาธิปไตยเมียนมาต่อสู้จนตายและบาดเจ็บมากกว่าในไทยหลายเท่า แต่วันหนึ่งเมียนมาก็ก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ได้ เมียนมาใช้เวลาปฏิรูปการเมืองจนมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลชุดแรกเมื่อปี 2554 นัยหนึ่ง เมียนมาใช้เวลา 8 ปีตามโรดแมป และมีระยะเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปีที่นายพลเต็งเส่งเป็นประธานาธิบดีเพื่อส่งผ่านประชาธิปไตยให้ประชาชน ในขณะที่ คสช.กำหนดโรดแมปจนไปสู่การเลือกตั้งเพียง 3 ปี ส่วนคำถามพ่วงสำหรับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ไม่รู้จะผ่านหรือไม่

“การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ” และ“ต้นเหตุของความขัดแย้ง” ที่ซูจีพูดถึงนั้น คนไทยรู้หมดแต่ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะมีพวกที่เลือกหยิบเอาเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเองมาอ้างโดยถือเอาประโยชน์ส่วนตัว และประโยชน์ของพรรคพวกมาเป็นตัวตั้ง คิดแต่การแย่งชิงอำนาจเพื่อใช้อำนาจไปแสวงหาประโยชน์อันมิชอบและเพื่อฟอกตัวเอง 

อย่าไปอายเมียนมาเลย อายตัวเองดีกว่า หากประชาชนยังไม่ยอม “ตื่นรู้” คงต้องปล่อยให้นักการเมืองเลวๆ ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองต่อไป เราจะเอาอย่างนั้นหรือ

ข่าวล่าสุด

อาลัยวีรชน “เนิน 350” อนุทินลั่นไม่ทิ้งญาติ ย้ำรัฐเยียวยาเต็มที่