posttoday

ปฏิรูปไม่สร้างจุดเปลี่ยน ทุกอย่างยังวนอยู่เหมือนเดิม

12 มิถุนายน 2559

"ผมคิดว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม เพราะความคิดคนก็ไม่เปลี่ยน ระบบการศึกษาก็ไม่เปลี่ยน ระบบอะไรก็ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น คสช.ลุกไปแล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดจากเดิม ผมยังมองไม่เห็นจุดเปลี่ยน"

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

เป็นที่ทราบกันดีว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี นโยบายแรกและนโยบายหลักที่ คสช.ประกาศต่อสาธารณชน คือ การปฏิรูปประเทศ คสช.ยืนยันว่าจะเป็นการใช้เวลาเพียงไม่นาน จากนั้นในปี 2560 จะคืนอำนาจให้กับประชาชนด้วยการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกของประชาชน

เวลาผ่านไป มีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงติติง ซึ่งเสียงตำหนิที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมีความเป็นไปได้ที่เกิดจากการที่มองว่าการปฏิรูปประเทศภายใต้กลไกที่ คสช.ออกแบบยังมีผลงานไม่ค่อยเข้าเป้ามากนัก โดย “ศ.ศรีราชา วงศารยางกูร” ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้เวลาโพสต์ทูเดย์เข้าไปสนทนาปัญหาบ้านเมืองก็มองเห็นถึงประเด็นนี้เช่นกัน

ศ.ศรีราชา เข้าประเด็นทันทีว่า ถ้าจะให้บอกว่าปัญหาของประเทศทุกวันนี้เกิดมาจากอะไร ส่วนตัวคิดว่ามาจากระบบการศึกษาของประเทศที่มีปัญหา ในที่นี้หมายความว่ายังขาดการสอนให้นักเรียนมีกระบวนการความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งการตั้งสมมติฐาน การวิเคราะห์ การหาเหตุผล เพื่อหาผลลัพธ์ในท้ายที่สุด แต่กลายเป็นว่าส่วนใหญ่เป็นการสอนที่ให้ท่องจำเป็นหลัก ตรงนี้จึงเชื่อมโยงมาถึงปัญหาการเมืองของไทยด้วย เพราะทำให้ไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร

ประชาชนเรายังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมที่จะเข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร และยังไม่พร้อมที่จะดูแลรักษาสิทธิหน้าที่บทบาทของตัวเอง กลไกของประชาธิปไตยคืออะไร ประชาชนอาจรู้สึกว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งแล้วมีการหาเสียงมาแจกเงินแจกของ มีการสัญญาต่างๆ มันก็เป็นเรื่องที่พูดยากอยู่หรอก แต่สุดท้ายตรงนี้แหละที่จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าความรู้ หรือความเหมาะสมในระบอบประชาธิปไตยมันเป็นอย่างไร ผมยังเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำว่าประชาธิปไตยคืออะไร

...บางทีเราก็จำขี้ปากเขาต่อๆ มา แม้กระทั่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ตาม ผมก็ว่าจำนวนไม่น้อยนะที่ยังไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตยคืออะไร และก็ไม่เข้าใจ แต่ก็พร่ำสอนกันไปว่าประชาธิปไตย คือ อำนาจ 3 อย่าง นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่กลไกในการเชื่อมโยงกันเพื่อให้ระบบหรือระเบียบในการปกครองที่จะอยู่ร่วมกัน ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่

...สรุปตรงนี้ ประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจว่าบทบาทตัวเองควรมีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร อะไรคือสิ่งที่ตัวเองควรปกป้อง อะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องมีความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจตัวนี้ปั๊บ มันก็เลยมีความรู้สึกว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่”

ศ.ศรีราชา เห็นว่า หากต้องการแก้ไขปัญหาของประเทศ มีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มที่การปฏิรูปการศึกษาที่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 15-20 ปี ถึงจะแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างได้อย่างเป็นระบบ

“การแก้ไขตรงนี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยระบบการศึกษา ตำราทั้งหลายต้องเปลี่ยนให้ถูกด้วย อนาคตถ้าเราปล่อยไว้อย่างนี้ผมว่ายังหวังยากนะ

...ผมว่าการปฏิรูปการศึกษาเป็นช่องทางหนึ่ง แต่ต้องชี้นำไปในทางที่ถูกด้วย เพื่อให้เห็นว่าประชาธิปไตย คือ การยอมรับคนอื่น อยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ขัดแย้งกันโดยไม่มีเหตุผล มันคงต้องใช้เวลาในระดับหนึ่งนะที่ต้องสร้างทัศนคติที่ดี ความรู้ความเข้าใจก็ดี การศึกษา คือการสร้างคน ให้คนรู้จักและเข้าใจระบบการเมืองการปกครอง เข้าใจระบบสังคมที่เราอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพาอาศัย เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันด้วยความสันติสุข

...เราต้องสอนให้คนอยู่บนฐานของการคิดเป็นและสังเคราะห์เป็น เพราะการไม่สอนคนในลักษณะให้คิดวิเคราะห์มีผลต่อมุมมองประชาธิปไตย ซึ่งจะสอนให้เกิดการคิดวิเคราะห์ได้ก็ต่อเมื่อครูมีความรู้ความเข้าใจ ถ้าครูไม่รู้เรื่องจะไปสอนเด็กได้อย่างไร

...ผมว่าเรื่องของครูเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องให้เขารู้จักวิธีการสอนที่ทำให้เด็กสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่เด็กจำเพื่อเอาไปสอบอย่างเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นจะกลายเป็นลักษณะจำเพื่อลืม พอไปสอบแล้วก็ลืม จากนั้นก็มาจำใหม่แล้วเอาไปสอบอีกในแต่ละภาคการศึกษา สุดท้ายได้อะไรบ้าง พอพ้นจากห้องสอบแล้วอาจจะลืมไม่มีอะไรเหลือแล้วก็ได้ใช่หรือไม่ อันนี้คือปัญหาของเรา

...ถ้าจะเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านี้ คิดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 15-20 ปีมั้ง แก้ด้วยกฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่ต้องทำเป็นโมเดลให้เกิดความเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน”

ขณะเดียวกัน ศ.ศรีราชา ยังย้ำอีกว่า การปฏิรูปการศึกษา ถ้าจะทำให้เกิดความต่อเนื่องจนนำไปสู่ผลที่เป็นรูปธรรม ย่อมต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาล เพราะถ้ารัฐบาลขาดความต่อเนื่องและขาดกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างกัน เท่ากับว่าการปฏิรูปจะต้องนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล

“การแก้ไขระบบการศึกษาต้องอาศัยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเพื่อเข้ามากำหนดนโยบายให้ชัดเจน บ้านเราถ้าพูดกันตรงๆ ที่เป็นอย่างนี้เพราะระบบการเมือง การช่วงชิงอำนาจ และเรามีพรรคการเมืองเยอะ ผลัดกันเข้ามาเป็นรัฐบาลไม่มีความต่อเนื่อง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จะพยายามเขียนแนวนโยบายพื้นฐานเพื่อให้ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลต้องทำตามนี้เขาก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญและให้ความสนใจ เพราะเขาถือว่าไม่ใช่นโยบายของเขา เขาจึงเอานโยบายของเขาเป็นหลัก ส่วนนโยบายพื้นในรัฐธรรมนูญทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็แล้วไป ให้คนอื่นมาทำต่อ

...ที่ผ่านมานักการเมืองเดินผิดมาตลอด ก็ไม่ได้พูดว่า คสช.ดี คสช.เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ คนตีกันจะตาย ประเทศจะเจ๊งแล้ว ก็ต้องเข้ามาหย่าศึกเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย และจะได้อยู่ร่วมกันได้ เสร็จแล้วเขาก็จะออกไป แต่ก่อนจะออกไปก็ต้องกวาดบ้านให้เรียบร้อยและมีกติกาชัดเจนเผื่อทิศทางในอนาคตจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะพอ คสช.ลุกไปแล้ว พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ เขาบอกว่าอันนี้ไม่เอา เพราะเป็นเรื่องของเผด็จการ ไม่ใช่ของพวกเราต้องโละทิ้งให้หมด แบบนี้ความต่อเนื่องก็ไม่มีแล้ว ก็กลับไปนับหนึ่งใหม่ ทุกคนอีโก้หมดว่าตัวเองเก่ง อาสาเข้ามาแต่ปรากฏว่าไม่ค่อยประมาณตัว

...ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบัน 84 ปีแล้ว ก็ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม มีอะไรดีขึ้นบ้างไหม นอกจากวนเวียนอยู่ที่เดิม และก็วันดีคืนดีทหารก็ลุกขึ้นมารัฐประหาร แก้ไขปัญหาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าก็ยังมองเห็นอนาคตไม่ชัดของการเมืองไทยว่าจะไปอย่างไร”

การบอกว่าเห็นอนาคตไม่ชัด หมายถึงการเมืองยังไม่มีทางออก เพราะคนก็ยังจะทะเลาะกันเหมือนเดิมใช่หรือไม่? ศ.ศรีราชา ตอบว่า “ยากที่จะคาดเดานะ แต่ถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ มันก็เป็นไปได้ที่ว่าความขัดข้องหมองใจยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ออกไปจากระบบสังคม”

การปรองดองในทางการเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้? ศ.ศรีราชา มีมุมต่อคำถามนี้ว่า “ไม่มีทาง อันนี้ผมฟันธงเลย การปรองดองที่เป็นความตกลงในรูปของตัวหนังสือในกระดาษไม่มีทางเป็นไปได้ การปรองดองต้องเกิดจากพฤติกรรมที่รู้เห็นและเข้าใจร่วมกัน และทุกคนมีความจริงใจที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การปรองดองไม่ใช่เกิดมาจากการประชุมของคณะกรรมการที่อยู่ในกระดาษ ซึ่งเป็นความฝันของนักวิชาการบางคน ซึ่งผมคิดว่าเป็นความฝันที่ไม่น่าจะเป็นจริงได้”

แสดงว่า คสช.ออกไปแล้ว ปัญหาจะมาเหมือนเดิม? ศ.ศรีราชา ตอบว่า “ผมคิดว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมนะ เพราะฐานมันไม่ได้เปลี่ยนนิ ความคิดคนก็ไม่เปลี่ยน ระบบการศึกษาก็ไม่เปลี่ยน ระบบอะไรก็ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น คสช.ลุกไปแล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดจากเดิม ผมยังมองไม่เห็นจุดเปลี่ยนนะ เพราะจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ คือ การให้ความรู้กับคน ที่ทำให้คนสามารถคิดและวิเคราะห์เป็น และไม่หวังแค่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า

ทุกวันนี้ พูดกันตรงๆ ที่การซื้อเสียงมันได้ผลเพราะอะไร เพราะว่าเขาได้เงินแต่ไม่ได้คิดว่าการได้เงินวันนี้ ไอ้คนที่เอาเงินมาให้เขาจะต้องไปเรียกทุนคืนด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด สังคมบ้านเราพูดก็พูดเถอะ สังคมบ้านเราเหนี่ยวนำให้คนต้องติดสินบนต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ ระบบนี้ยังหยุดไม่ได้นะ มันจะเป็นเหมือนล้อเกวียนหมุนไปแล้วก็กลับมาอยู่ที่เดิม ผมว่าจะยังเป็นวงจรต่อไป” ศ.ศรีราชา อธิบาย

ปฏิรูปไม่สร้างจุดเปลี่ยน ทุกอย่างยังวนอยู่เหมือนเดิม

ผู้ตรวจฯเสือกระดาษเพราะกฎหมายไม่เอื้อ

ผู้ตรวจการแผ่นดิน นับเป็นหนึ่งในองค์กรอิสระที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และยังคงสถานะความเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ตรวจฯ จะอยู่กับสังคมไทยมาเกือบ 20 ปี แต่ “ศ.ศรีราชา” ในฐานะประธานผู้ตรวจฯ ซึ่งเป็นลูกหม้อคนสำคัญขององค์กรนี้ ยอมรับว่าการทำงานของผู้ตรวจฯ ยังต้องปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพในหลายเรื่อง

“ตอนแรกของการมีผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีคนเข้าใจผู้ตรวจฯ น้อยเพราะเป็นองค์กรใหม่ มักจะสับสนระหว่างผู้ตรวจฯ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เยอะทีเดียว เราก็พยายามแก้ไขกันไป มาตอนนี้ยอมรับว่ายังมีคนสับสนอยู่บ้าง เพราะเวลาเราออกพื้นที่ไปต่างจังหวัดก็ยังมีคนคิดว่าเราเป็น สตง. แต่ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเยอะ ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าจะเรียกชื่อผู้ตรวจฯ เป็นภาษาอังกฤษเลยว่า ‘Ombudsman’ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่ก็เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น เพราะเรายังอยากใช้ชื่อองค์กรเป็นภาษาไทยอยู่

ปัจจุบันก็ดีขึ้นเยอะ มีคนรู้จักเราเยอะขึ้น ในปีสองปีที่ผ่านมาเราก็มีบทบาทเยอะขึ้นในสังคม เช่น การตัดสินคดีใหญ่ อย่างปัญหาน้ำมัน กฎหมายคณะสงฆ์”

เมื่อถามว่า ผู้ตรวจฯ ถูกมองว่าเป็นเสือกระดาษ เนื่องจากทำแค่ข้อเสนอเท่านั้น ประธานผู้ตรวจฯ อธิบายว่า อาจเป็นเรื่องของความเข้าใจหรือปรัชญาในการทำงานของผู้ตรวจฯ ในยุคแรกๆ ที่มองว่าต้องการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ไม่มีการไปกระทบกระทั่งกับหน่วยงานราชการ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาสันติวิธีจึงอาจถูกมองว่าไม่ได้มีบทบาทในเชิงรุก หรือต่อสู้ให้มีผลออกมาในเชิงแพ้หรือชนะ

“เราเสนอและทำความเห็นไปหลายร้อยเรื่อง ผมคิดว่าไม่ต่ำกว่า 400-500 เรื่อง แต่ผลตอบรับกลับมาไม่ค่อยเยอะเท่าไร ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราขอไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่าการที่หน่วยงานรัฐเพิกเฉย ละเลย โดยไม่มีเหตุผลภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าเป็นการผิดวินัยอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ”

ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่รอการลงประชามติมีผลอย่างไรกับผู้ตรวจฯ? ประธานผู้ตรวจฯ ตอบว่า บทบาทหน้าที่ของเราลดลงเป็นส่วนใหญ่ อย่างเรื่องจริยธรรมเราถูกลดบทบาทลงไป โดยให้ไปร่วมกับองค์กรอื่นในการทำประมวลจริยธรรม หรือเรื่องการตรวจสอบองค์กรอิสระอื่นๆ ก็ไม่ได้ระบุเป็นอำนาจของผู้ตรวจฯ ไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงการไม่ให้ผู้ตรวจฯ ติดตามประเมินผลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ที่ผู้ตรวจฯ ยังมีอยู่ คือ การให้อำนาจหน้าที่ฟ้องร้องไปที่ศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

ประธานผู้ตรวจฯ สรุปสาเหตุที่ทำให้การบังคับใช้ประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ผล ทั้งๆ ที่เป็นอำนาจหน้าที่สำคัญของผู้ตรวจฯ ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ผมว่าเป็นปัญหานักการเมืองมากกว่า อำนาจของเราที่เรามีอยู่น่าจะพออยู่แล้ว จริงๆ แล้วกฎหมายที่ร่างขึ้นมาเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมมันก็พูดยาก ต้องถามลึกลงไปว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมสำหรับใคร คนที่ถูกผลกระทบจากกฎหมายเขารับได้หรือไม่แค่ไหน อย่างไร

สิ่งที่ต้องมีมันควรจะมีไหม ผมว่าการมีมันก็ดี อาจช่วยให้เห็นทิศทางและหลักประกัน แต่มีแล้วเขาไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาเหมือนกัน เหมือนกับเราให้หนูเอากระพรวนไปผูกคอแมว ถ้าเผื่อรอดมาก็ไม่ถูกแมวกิน"

ปฏิรูปไม่สร้างจุดเปลี่ยน ทุกอย่างยังวนอยู่เหมือนเดิม

ปัญหา "คุณภาพคน-สิ่งแวดล้อม" กัดเซาะทำลายประเทศ

ในทัศนะของ ศ.ศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้อธิบายว่า ที่จริงแล้วปัญหาของประเทศไทยไม่ได้อยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเดียว แต่มีปัญหาที่ยังมีหลายภาคส่วนมองไม่เห็น ทั้งที่เป็นปัญหาใหญ่ และส่งผลในเชิงโครงสร้างค่อนข้างมาก 2 ปัญหา ประกอบด้วย 1.ปัญหาทรัพยากรบุคคล และ 2.ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทุกปัญหาได้เชื่อมโยงกันอย่างน่ากลัว โดยสามารถจำแนกแต่ละประเด็นพอสังเขปได้ดังนี้

ปัญหาทรัพยากรบุคคลอยู่ที่การขาดภูมิคุ้มกันด้านคุณธรรมและจริยธรรม เพราะถ้าบุคคลของประเทศขาดสิ่งเหล่านี้แล้วย่อมไม่สามารถพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีได้ ในทางกลับกันจะนำไปสู่สภาพที่บุคคลจะมองแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก

“ทรัพยากรบุคคล เราสามารถพัฒนาได้ด้วยระบบการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อสร้างคนที่ดีมีคุณภาพ ระบบการศึกษาจะเน้นแค่ความรู้อย่างเดียวไม่ได้ เวลานี้สิ่งที่เป็นความเป็นความตายของสังคมไทย คือ คุณธรรมจริยธรรม”

...พูดถึงเรื่องคุณธรรมจริยธรรม พูดได้ชัดๆ เลยว่าทุกวันนี้ที่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ เพราะคุณธรรมจริยธรรมมันตกต่ำ เวลานี้ระบบการศึกษาต้องเน้นระบบคุณธรรมเป็นหลัก ความเก่งในวิชาการตามมาเป็นรอง เพราะถ้าเกิดคนเก่งและเลวอันตรายมาก เอาความเก่งไปใช้ในทางที่ผิด เดือดร้อนกันทั้งสังคม แต่ถ้าเกิดคนดีและเก่งจะถือว่าดีมาก หากเป็นคนดีแต่ไม่เก่งมากนักพอเอาตัวรอดได้ ก็ยังถือว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร”

สำหรับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ศ.ศรีราชา ระบุว่า “เราจะทำอย่างไรจะสามารถดูแลฟื้นฟูให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ทำอย่างไรให้ช่วยกันดูแลและสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้ ทุกคนอยู่ดีมีสุข อย่างเวลานี้บางจังหวัดที่ภูเขาหัวโล้นหมดเพราะอะไร เพราะว่าคนไปถางหมดเพื่อต้องการเอาที่ไปทำไร่ บุกรุกป่า ความชื้นไม่มี ก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้งเป็นเวลาสองปีติดต่อกัน แล้งสองปีติดกันแทบตายเลยใช่ไหม กระทบคนทั้งประเทศ ผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรเป็นหนี้”

“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครร้องแรกแหกกระเชอให้ประชาชนเข้าใจว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากที่คุณทำ มันถึงเป็นอย่างนี้ มันถึงแล้งติดต่อกันสองปี ระบบของการดูแลประเทศมันแย่นะ รัฐบาลหรือหน่วยราชการก็ดี ไม่สามารถดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ดูแลให้มันมีป่า ดูแลไม่ให้คนบุกรุกป่า”

แนวทางการแก้ไขทั้งหมด ศ.ศรีราชา ยังคงยืนยันว่า ต้องเริ่มต้นจากการศึกษา

“ต้องสอนเรื่องเหล่านี้ในโรงเรียน สอนในระบบการศึกษา ฝังหัวทุกคนตั้งแต่เล็กๆ จนถึงตอนโตเลยว่าให้ทุกคนรู้คุณค่าของธรรมชาติ รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้สิ่งแวดล้อมยังคงอยู่ได้ รู้ว่าต้องทำอย่างไรที่ให้ผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของประเทศได้รับการดูแลและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เวลานี้ประชาชนส่วนใหญ่เจ๊งและเศรษฐกิจชะงักงันหมดเพราะอะไร เพราะคนไม่มีเงิน เกษตรกรหลายสิบล้านคนไม่มีเงินใช้ จึงไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบ แบบนี้ก็กระทบหมด ซึ่งมันก็กำลังรุนแรงมากขึ้น”

...รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ต้องเอาเงินมาหยอดคิดโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันให้ออกไปสู่ระบบ จะได้ให้คนมีงานทำ ซึ่งต้องทำทุกภาคส่วนไปพร้อมๆ กัน ให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ เวลานี้รัฐบาลก็มีปัญหาอยู่ว่าจะแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีหนี้เยอะขึ้นก็ไม่มีเงินจะจ่าย เป็นวงจรสัมพันธ์กันหมด”

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากปัญหาทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังมีปัญหาการเข้ามาครอบครองทรัพย์สินในประเทศไทยผ่านนอมินี ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินเคยเสนอแนวทางให้กับรัฐบาลในอดีตมาแล้ว แต่กลับยังไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่นัก

“เราเคยก่อนหน้านี้แล้วว่า ให้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีไปก่อน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ส่วนหนึ่งที่ไม่ทำเพราะอะไร ก็เพราะนักการเมืองบางส่วนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คนรักชาติมันมีน้อย คนทำลายชาติมันมีเยอะ”

...เขาคำนึงอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรถึงจะได้เงินมา เพื่อที่จะได้ลงเล่นการเมืองต่อไป ถ้าคนของเราเองยังไม่ดูแลรักษา แล้วใครจะมาดูแล จริงๆ กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เกือบจะได้เข้าสู่การพิจารณาของสภา แต่ถูกตัดเนื้อหาเกี่ยวกับกองทุนที่ให้เงินกับผู้แจ้งเบาะแส ทำให้การจัดทำกฎหมายไม่มีความคืบหน้า”

ปฏิรูปไม่สร้างจุดเปลี่ยน ทุกอย่างยังวนอยู่เหมือนเดิม

ช่วงท้ายการสนทนา ได้สอบถามถึงการทำงานก่อนที่กำลังจะหมดวาระในเร็วๆ นี้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังสรรหาบุคคลมาทำหน้าที่ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ ว่า “มีหลายเรื่องและหลายสิ่งที่อยากทำ แต่คิดว่าคงไม่มีเวลาทำแล้ว เพราะจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งก่อน คือ การศึกษาเรื่องปรับโครงสร้างภาษี ต้องมีการปรับฐานการเก็บภาษีให้กว้างขึ้น เช่น ภาษีทรัพย์สิน เพราะผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น การทุจริตเยอะ เพราะเงินเดือนข้าราชการไม่พอใช้ จึงคิดว่าควรเพิ่มเงินเดือนข้าราชการให้สูงพอ”

“แต่ในทางกลับกัน ถ้าใครทุจริตต้องถูกลงโทษที่รุนแรงเลย แค่ออกจากราชการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องติดคุกด้วย หรือเอาอย่างจีนเลยก็ได้ที่ประหารชีวิต ผมว่าคนไทยอาจเหมาะอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นปั๊บคนจะกลัว เคยได้ยินไหมเมื่อสมัยจอมพลสฤษดิ์ มีไฟไหม้ที่ท่าเรือ จับได้ว่าคนวางเพลิงต้องการเผาเพื่อเอาเงินประกัน จับได้ยิงเป้าเลย จากนั้นไฟไม่ไหม้อีกเป็นปีเลยนะ เพราะทุกคนกลัวหมด บ้านไหนทั้งหลายที่เก่า สายไฟเริ่มเก่าเปลี่ยนหมดเลย เพราะกลัวไฟไหม้แล้วจะเจอโทษประหารชีวิต”

...อีกเรื่องที่อยากทำแต่คงไม่ได้ทำแล้ว คือ การป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจและการเมือง ที่จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาผูกขาดและใช้เงินซื้อการเมือง ที่ผ่านมาก็เกิดกันอยู่แล้ว เวลาจะลงเลือกตั้งก็ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจใหญ่ๆ ก็ให้เงินไปซื้อ ตกเขียวไว้ก่อน พอถึงเวลาปั๊บใครจะมาออกกฎหมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธุรกิจเขาก็ไม่สามารถทำได้ น่ากลัวนะ”

...ผมก็วิเคราะห์จากประสบการณ์ของผมนะ จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่ายังไม่มีใครรู้ แต่ผมคิดว่า คสช.จะทำอะไรก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน เว้นแต่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ศ.ศรีราชา ทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์