ภูมิใจได้รับใช้ชาติ 'วิทัย รัตนากร'
ภาพลักษณ์ใหม่ของธนาคารออมสินกำลังถูกเปลี่ยนจากธนาคารสำหรับเด็กและคนแก่ให้เป็นธนาคารสำหรับทุกคน
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
ภาพลักษณ์ใหม่ของธนาคารออมสินกำลังถูกเปลี่ยนจากธนาคารสำหรับเด็กและคนแก่ให้เป็นธนาคารสำหรับทุกคน โดยกลยุทธ์หลักของผู้บริหารคือ ทำให้องค์กรมีบุคลากรที่มีอายุน้อยลง เพื่อให้ตามการแข่งขันได้ทันสถานการณ์
สำหรับผู้บริหารธนาคารออมสินแล้ว “วิทัย รัตนากร” รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ เป็นรองผู้อำนวยการออมสินที่อายุน้อยที่สุด ช่วยทำให้อายุเฉลี่ยของผู้บริหารธนาคารในภาพรวมลดลงมาก
การเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งของชีวิตที่วิทัยเห็นว่าควรจะนำความรู้มาช่วยพัฒนาประเทศชาติ หลังจากไปหาประสบการณ์ทำงานในภาคเอกชนมานานพอสมควร ซึ่งขณะนี้ถือว่าวิทัยเป็นมันสมองที่สำคัญให้กับ ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในการร่วมคิดนโยบายต่างๆ
วิทัยเริ่มงานด้วยการเป็นนักค้าเงินที่ธนาคารกรุงเทพ ต่อมาก็ย้ายไปทำงานที่ฝ่ายบริหารสินทรัพย์หรือแก้ไขหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารเอเชีย ก่อนจะลาออกไปร่วมงานที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนมาทำงานที่ธนาคารออมสิน คือ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงินของบริษัท นกแอร์
“เดิมตั้งใจว่าเมื่อหมดภารกิจที่นำบริษัท นกแอร์ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วก็จะหยุดทำงานประจำ เพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูกๆ แต่ก็คิดว่าชีวิตคนเราจะมีค่าก็เพราะทำงาน งานภาคเอกชนผมก็ทำมาเยอะแล้ว จึงมาสมัครงาน ที่ธนาคารออมสิน” วิทัย เล่าให้ฟัง
การที่วิทัยเลือกทำงานที่ธนาคารออมสินนั้น เขาเล่าว่า “ผมมีความหลังกับธนาคารแห่งนี้นะ ผมวิ่งเล่นอยู่ที่อาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารที่สะพานควายตั้งแต่ยังเด็ก วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่หลายปี เนื่องจากคุณแม่ (สิริลักษณ์ รัตนากร อดีตกรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) เคยเป็นผู้บริหารของธนาคารออมสิน ตอนนั้นผมเรียนชั้นมัธยม ต้องมาขึ้นรถกลับบ้านกับคุณแม่ทุกเย็น ระหว่างรอคุณแม่ทำงานยังไม่เสร็จเราก็วิ่งซนไปเรื่อยตามประสาเด็ก”
ฉะนั้น เมื่อวิทัยตัดสินใจมาทำงานที่ธนาคารออมสิน คนที่ดีใจมากที่สุดคือคุณแม่ ที่เห็นลูกชายได้เข้ามาช่วยพัฒนาธนาคารแบงก์รัฐแห่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น
ตอนนี้งานที่ทำถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะสร้างธุรกิจเกิดใหม่ (สตาร์ทอัพ) ธนาคารออมสินเข้ามามีส่วนร่วมด้านการสนับสนุนแหล่งเงินและวางเป้าให้เป็นธนาคารที่ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ
“ธนาคารได้เสนอกระทรวงการคลังผ่านทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ขอจัดตั้งสายงานดูแลธุรกิจสตาร์ทอัพขึ้นเป็นหน่วยงานเฉพาะ อยู่ภายใต้กลุ่มลูกค้าธุรกิจ สายงานดังกล่าวจะมีภารกิจ 3 ด้าน เริ่มตั้งแต่การค้นหาตัวผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งได้เริ่มจากการประกวดเขียนแผนธุรกิจ ในโครงการสุดยอดแนวคิดพลิกธุรกิจไทย รวมทั้งการหาผู้ประกอบการจากหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการอยู่หลายแห่ง ยังไม่นับรวมศูนย์ที่อยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดที่นำเอาผู้ประกอบการเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างจริงจัง
หน้าที่ต่อมา คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยจะเชิญที่ปรึกษาด้านต่างๆ มาช่วยพัฒนาผู้ประกอบการทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ การวางแผนการตลาด การให้ความรู้เรื่องการจดทะเบียนนิติบุคคล การวางแผนภาษี เช่น เด็กจบใหม่ ที่คิด ผลิตสินค้าได้ แต่ไม่มีความรู้เรื่องการตั้งบริษัท การเสียภาษี ต้องทำอย่างไร เป็นต้น
ภารกิจสุดท้าย คือ การสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารได้ออกสินเชื่อเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ เป็นโครงการพิเศษ เน้นปล่อยกู้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน ที่ไม่จำเป็นต้องมี
นวัตกรรม มีเงื่อนไขว่าต้องจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลมาแล้วไม่เกิน 3 ปี ปล่อยกู้สูงสุด 10 ล้านบาท/ราย หรือแล้วแต่ความเหมาะสม มีระยะเวลาผ่อนสั้นๆ คือ 1 ปี หรือผ่อนยาวนานถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 อยู่ที่ 3.99% ปีที่ 3-10 ดอกเบี้ยตามที่ธนาคารกำหนด
วิทัย กล่าวว่า เป้าหมายการทำโครงการสตาร์ทอัพ ของธนาคารออมสิน คือ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีสตาร์ทอัพให้เข้าถึงแหล่งเงินได้จริงๆ
“หากงานนี้สำเร็จเป็นไปตามเป้าหมายจะช่วยให้เอสเอ็มอีได้มาก เป็นงานที่ผมภูมิใจ” วิทัย กล่าว


