กฎธรรมชาติกับกฎสังคม
“กฎสังคมสร้างขึ้นเพื่อควบคุมกฎธรรมชาติ” ทุกวันนี้ยังไม่มีศาสตร์ใดๆ ที่สามารถสรุปได้อย่างสมบูรณ์ว่า “ธรรมชาติของมนุษย์”
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“กฎสังคมสร้างขึ้นเพื่อควบคุมกฎธรรมชาติ”
ทุกวันนี้ยังไม่มีศาสตร์ใดๆ ที่สามารถสรุปได้อย่างสมบูรณ์ว่า “ธรรมชาติของมนุษย์” เป็นอย่างไร ผู้เขียนขออธิบายแต่ในแง่ของวิชารัฐศาสตร์ที่ได้ศึกษาถึงธรรมชาติของมนุษย์นั้น แม้ว่าจะเป็นวิชาการน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่ในช่วงที่เราแสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมืองภายในประเทศได้ไม่มากนัก ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าหาเรื่องที่เป็น “แก่นสาระ” นำมาขบคิดกันให้เข้าสมอง ดีกว่าให้ใครมายัดเยียดในเรื่อง “ไร้สาระ”
นักมานุษยวิทยา กล่าวว่า แต่แรกที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม คือ เป็นครอบครัว เครือญาติ และชุมชนนั้น มนุษย์มีเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่เพียงแค่ “การดำรงเผ่าพันธุ์” พูดง่ายๆ ว่า “เอาชีวิตให้รอด” ซึ่งนี่ก็คือ “ธรรมชาติในทางสังคมของมนุษย์” แล้วมนุษย์ก็คิด “กฎ” เพื่อควบคุมกันและกันให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการ “ร่วมมือ” และ “ดูแล” กันและกัน ดังนั้น “กฎทางสังคม” อันแรกของมนุษย์ ก็คือ “การเชื่อฟัง” เช่นที่ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และลูกบ้านต้องเชื่อฟังผู้นำชุมชนฉะนั้น
กล่าวโดยรวบรัด ก็คือ มนุษย์สร้างกฎทางสังคมต่างๆ เพื่อการอยู่ด้วยกันให้บรรลุเป้าหมายของสังคม จากเป้าหมายแรกที่ต้องเอาชีวิตให้รอด มนุษย์ก็พบว่าต้องทำชีวิตให้ปลอดภัย จึงเกิดระบบผู้ปกป้องคุ้มครอง เกิดการเรียนรู้ว่าสัตว์อื่นหรือคนอื่น (นอกเผ่า นอกชุมชน) นั้นเป็นศัตรู ต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืช เกิดระบบการผลิต การใช้แรงงาน การครอบครองที่ดินและทรัพย์สิน ก็ต้องมีผู้ปกครองหรือกลุ่มคนมาดูแลจัดการกิจการต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีการขยายที่ทำกิน มีการติดต่อค้าขายกัน ระบบดูแลที่ง่ายๆ กลายเป็นระบบที่ซับซ้อน กระทั่งกลายเป็นลัทธิทางการปกครองต่างๆ มากมาย
ลัทธิหรือวิธีการปกครองจึงถือเป็นกฎสังคมขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแต่ละรัฐที่อาจจะมี “จุดเน้น” แตกต่างกัน เช่น บางรัฐเน้นความมั่นคง ก็จะใช้วิธีการปกป้องรักษาอาณาเขตของประเทศตนไว้ให้แข็งแรง หรือบางรัฐเน้นความสุขสงบ ก็จะใช้วิธีทางการทูตและแสวงหาพันธมิตร เป็นต้น ถ้าหากเราจะมองเข้าไปให้ลึกๆ ก็จะพบว่า การที่ผู้ปกครองหรือประชาชนในรัฐนั้นชื่นชอบหรือยินยอมให้มีการปกครองด้วยลัทธิหรือวิธีการดังกล่าว ก็ด้วยเหตุที่ผู้คนในประเทศเหล่านั้นเชื่อหรือถูกบังคับให้เชื่อว่า การปกครองเช่นว่านั้น “สอดคล้อง” กับ “ธรรมชาติ” ของพวกเขา ซึ่งก็คือผู้คนในประเทศนั้นๆ
ในวิชารัฐศาสตร์กล่าวถึงการศึกษา “ธรรมชาติของมนุษย์” เพื่อประโยชน์ทางการเมืองการปกครอง ว่า เริ่มต้นที่ปราชญ์ชาวอิตาลี ชื่อ นิโคโล แมคเคียเวลลี ที่ศึกษาสังคมอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 แล้วเขียนหนังสือ ชื่อ The Prince ได้กล่าวถึงวิธีการปกครองของ “เจ้าชาย” ที่จะทำให้ประเทศอิตาลีมีความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็ง โดยเขาเชื่อว่ามนุษย์จำเป็นที่จะต้องปกครองด้วยความเข้มงวดเด็ดขาด จึงต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ อย่างที่คำว่า “แมคเคียเวลเลียนนิสม์” ก็คือ เผด็จการรูปแบบหนึ่ง
ตรงกันข้ามกับนักคิดในแนวประชาธิปไตยในยุคสืบต่อกันมา ได้แก่ จอห์น ล็อค, ฌอง โบแดง, ฌอง ฌาร์ค รุซโซ และมองเตสกิเออ ที่มองว่ามนุษย์ต้องการเสรีภาพ ความเป็นอิสระ ความมีตัวตน เป็นที่ยอมรับ กระทั่งถึงความเสมอภาคเท่าเทียม และความยุติธรรม และเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เขาก็มารวมกันเพื่อมอบอำนาจให้แก่ผู้ปกครองที่จะมาจัดการดูแลให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ เราจึงเรียกแนวคิดกลุ่มนี้ว่าเป็นเสรีนิยม และเมื่อรวมกันกับประชาธิปไตย ก็กลายเป็นชื่อว่า เสรีนิยมประชาธิปไตย
เพื่อให้คนรับในกติกาหรือรูปแบบการปกครองร่วมกัน มนุษย์ก็สร้าง “กฎทางสังคม” เข้าครอบทับ “กฎธรรมชาติ” โดยเอาความเชื่อในกฎธรรมชาติของมนุษย์ในแต่ละแนวความคิดนั้นเป็นตัวตั้ง อย่างเช่นคนอังกฤษเชื่อว่าประชาธิปไตยต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะสังคมมนุษย์ย่อมต้องพัฒนาไปเสมอ ดังนั้นเขาจึงสร้างกฎทางสังคมอย่างหลวมๆ (แต่เวลาปฏิบัติต้องเคร่งครัด) นั่นก็คือ “รัฐธรรมนูญที่อยู่ในชีวิต” ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสภาพสังคม ไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร หรือในประเทศที่เป็นเผด็จการก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ปกครองของประเทศเผด็จการเหล่านี้ เชื่อว่าประชาชนให้ความเชื่อถือและเคารพรัฐธรรมนูญมากกว่าตัวบุคคล รวมถึงที่ผู้ปกครองจะได้อ้างรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุมให้ประชาชนเชื่อฟังนั้นด้วย
ขอวกมากล่าวถึงประเทศไทยสักเล็กน้อย เหตุที่รัฐธรรมนูญของเรามีจำนวนหลายฉบับมากๆ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า “เขียนง่าย ฉีกง่าย” เสียเหลือเกิน หากจะมองด้วยทฤษฎีเรื่อง “กฎสังคมกับกฎธรรมชาติ” นี้แล้ว ผู้ปกครองยังไม่เข้าใจ “ธรรมชาติของคนไทย” เท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญทั้งหลายเขียนขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับ “นิสัยใจคอ” ของคนไทย รัฐธรรมนูญเหล่านั้นก็ต้องมีอันเป็นไป รวมทั้งอาจทำให้คิดไปได้ว่า คนไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญมากนัก แต่ไปให้ความสำคัญกับตัวคนเสียมากกว่า เหมือนกับที่คนอังกฤษเขาไม่ได้เอาใจใส่ในความมีอยู่ของรัฐธรรมนูญมากนัก เพียงแต่ขอให้ได้ผู้ปกครองที่ดีก็พอ
บางทีอาจจะต้องเริ่มต้นจากผู้ปกครองที่มี “ประชาธิปไตยในหัวใจ”


