หลากมุมมอง‘สื่อล้ำเส้น’
กรณีสถานีโทรทัศน์หลายช่องถ่ายทอดสดเหตุการณ์ตำรวจเจรจาให้ วันชัย ดนัยตโมนุท
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
กรณีสถานีโทรทัศน์หลายช่องถ่ายทอดสดเหตุการณ์ตำรวจเจรจาให้ วันชัย ดนัยตโมนุท อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผู้ต้องหาคดีฆ่าอาจารย์ร่วมสถาบันเสียชีวิต 2 ราย ให้มอบตัวแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายวันชัยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะฆ่าตัวตาย เป็นอีกกรณีที่สื่อถูกตั้งคำถามว่า รายงานข่าวอย่างล้ำเส้น ความเหมาะสมและจริยธรรมหรือไม่
สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุชัดว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. ได้มีการประชุมด่วน โดยกำหนดให้ทุกสถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศรายการสดระมัดระวังการนำเสนอ รวมถึงระงับการถ่ายทอดภาพความรุนแรง เนื่องจากกรณีดังกล่าวเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ หลังจากนี้สถานีโทรทัศน์เหล่านี้จะต้องรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย ไม่ใช่เพียงเรื่องของจรรยาบรรณเพียงอย่างเดียว
ในมุมมองของ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า การถ่ายทอดสดของสื่อกระทบต่อการทำงานของตำรวจอย่างมาก ทำให้เป้าหมาย (วันชัย) รู้บทบาทตัวเองตลอดเวลา
“ผมทราบมาว่า ขณะที่อยู่ในรถวันชัยเปิดวิทยุฟังตลอดเวลา เป็นความผิดพลาดอย่างมากที่ทำให้คนที่กำลังจะตัดสินใจบางอย่างรู้บทบาทตัวเอง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจ ทำให้การทำงานของตำรวจยากลำบากมากขึ้น”
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ มองว่า ในกรณีเช่นนี้ตำรวจจะต้องปิดล้อมกันพื้นที่ไม่ให้สื่อและประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุขนาดที่สามารถถ่ายทอดสดกันได้แบบนี้ ในที่เกิดเหตุจะต้องมีแต่เจ้าหน้าที่ ต้องไม่มีใครหรืออะไรที่จะไปกระทบต่อการตัดสินใจของเป้าหมาย
“ความโปร่งใสเป็นเรื่องสำคัญ ตำรวจควรตั้งกล้องบันทึกเหตุการณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่เอาไว้ทุกขั้นตอน เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ก็คัดกรองว่าควรจะนำภาพ นำคลิปแบบไหน ตอนไหนให้สื่อเผยแพร่อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ปล่อยให้สื่อถ่ายกันเอง รายงานกันเอง เน้นความตื่นเต้น แข่งขันกันให้ข่าวของตัวเองแทงทะลุความรู้สึกของประชาชนคนดู”
ขณะที่มุมมองของผู้ปฏิบัติ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการจัดอบรมหลักสูตรการเจรจาต่อรองตลอดเวลา และยังมีการส่งตำรวจไปเรียนหลักสูตรนี้ในต่างประเทศด้วย ซึ่ง พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้เจรจาหลักผ่านหลักสูตรนี้จากสหรัฐอเมริกา ส่วน พล.ต.ท.ฐิติราช ผ่านหลักสูตรของประเทศออสเตรเลีย แต่ตำรวจยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะทางด้านการเจรจาต่อรอง เมื่อเกิดเหตุก็จะพิจารณาเป็นกรณีไปว่าจะใช้ใครเป็นผู้เจรจาต่อรอง
ผบช.ก. บอกว่า ผู้ต้องหาอยู่ในภาวะเครียดที่ไม่ปกติ อยากคุยกับคนที่ไว้ใจ จึงให้ผู้ที่เขานับถือและเชื่อใจเป็นผู้เจรจาหลัก ซึ่งเป็นไปตามหลักการ ตำรวจเป็นเพียงตัวเสริมและควบคุมสถานการณ์เท่านั้น การนำนักจิตวิทยาซึ่งเป็นคนแปลกหน้ามาเพิ่มไม่น่าจะเกิดประโยชน์
“ผู้ต้องหามีเจตนาที่จะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว พูดอยู่ตลอดเวลาว่ากลัวติดคุก กลัวตายในคุก และกลัวที่จะถูกควบคุมตัวไปประหารชีวิต ตำรวจจึงพยายามยกกรณี นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ มาอธิบายให้ฟังว่า ในที่สุดหมอวิสุทธิ์ก็ได้ออกจากเรือนจำและได้บำเพ็ญประโยชน์สอนหนังสือ ซึ่งเขาก็มีท่าทีอ่อนลงแต่ในที่สุดกลับลั่นไกปืน ตำรวจเตรียมชุดจู่โจมพร้อมทั้งกระสุนยางและปืนไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ระยะยืนของผู้ต้องหายังไม่เข้าระยะปฏิบัติการ”
ด้านญาติของวันชัย 4 คน ซึ่งเดินทางมารับศพที่สถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดกลางคลอง 4 จ.ปทุมธานี ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ แก่ผู้สื่อข่าว โดยหญิงสาวที่เป็นญาติคนหนึ่งดึงสมุดจดข่าวของผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่พยายามจะขอทราบชื่อและนามสกุลของญาติ พร้อมทั้งกล่าวว่า “ไม่โอเคตั้งแต่คุณถ่ายทอดสด”
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายฝ่ายคงมีความเห็นตรงกันว่า การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในครั้งนี้ ควรต้องมีการปรับปรุง หาความสมดุลเหมาะสม ระหว่างการทำหน้าที่สื่อกับการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าข่ายรุนแรง สร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนในสังคม สร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ รวมทั้งเคารพต่อความเป็นมนุษย์ของผู้ร่วมในเหตุการณ์เพียงพอหรือไม่ หน่วยงานที่กำกับดูแลสื่อ และองค์กรวิชาชีพ ควรสร้างระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพอย่างทันท่วงที เมื่อเข้าข่ายก้าวล่วงละเมิดเส้นความพอดีและอาจผิดข้อกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม มีบทเรียนจากการทำหน้าที่ของสื่อที่ละเมิดสิทธิ โดยเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ครอบครัวของเซดริก จี วัย 30 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีกรุงปารีส เมื่อเดือน พ.ย. 2558 ที่ผ่านมา ฟ้องร้องมายา วิดอน ไวท์ ช่างภาพอิสระ และนิตยสารวีเอสดี นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ในฝรั่งเศส เป็นเงิน 3.8 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท และอีก 1.1 หมื่นเหรียญหรือประมาณ 4 แสนบาท สำหรับค่าดำเนินการทางกฎหมาย หลังเผยแพร่ภาพของเหยื่อนอนจมกองเลือดโดยปราศจากการเซ็นเซอร์ใดๆ ซึ่งผิดกฎหมายห้ามเผยแพร่ภาพเหยื่อในลักษณะที่ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


