ปรัชญาว่าด้วยความรักและความเกลียดชัง
“ความรักไม่ยั่งยืน ความเกลียดชังก็อายุสั้น” มนุษย์ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“ความรักไม่ยั่งยืน ความเกลียดชังก็อายุสั้น”
มนุษย์ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แต่ถ้าอารมณ์นั้นถูกอบรมกล่อมเกลาให้ระบายออกมาอย่าง “สมเหตุสมผล” คือรู้วิธีในการใช้หรือควบคุมอารมณ์ ก็ยิ่งจะทำให้มนุษย์ผู้นั้น “ประเสริฐ” หรือน่าคบ
ในทางจิตวิทยาบอกว่าอารมณ์มี 2 จำพวก คือ “อารมณ์เชิงบวก” เรียกว่า “ความรัก” กับ “อารมณ์เชิงลบ” เรียกว่า “ความเกลียดชัง” สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ที่ถือว่าความรักเป็น “ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก” คือส่งเสริมและเกื้อหนุนให้เกิดสิ่งดีๆ ระหว่างกันของมนุษย์ ที่มักแสดงออกเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม เช่น ระหว่างหญิงกับชาย พ่อแม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ฯลฯ ในขณะที่ความเกลียดชังถือว่าเป็น “ปฏิกิริยาเชิงลบ” คือ ต่อต้าน ขัดขวาง หรือทำลายล้างกันและกัน ซึ่งทั้งความรักและความเกลียดชังนี้เกิดจาก “ปฏิกิริยาของฮอร์โมน” ไปสั่งการแก่สมองที่ควบคุมกลไกต่างๆ ของร่างกาย ให้แสดงออกมาด้วย “อาการ” ต่างๆ ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “อารมณ์” นั่นเอง ดังนั้นในแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าหากควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนดังกล่าวนั้นได้ ก็อาจจะควบคุมความรักหรือความเกลียดนั้นได้ด้วย
ในศาสนาพุทธ ทั้งความรักและความเกลียดชังถือว่าเป็น “ตัณหา” จำพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานของผู้ดำเนินไปในแนว “โลกุตระ” หรือดำเนินตนให้ “พ้นโลก” คือเป็นสิ่งที่เรียกว่า “อาสวะ” หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่สงบ แต่ถ้าคนนั้นอยู่ใน “โลกียะ” หรือแนวของคนที่ยังอยู่ “บนโลก” การแสดงความรักให้เหมาะกับสถานะ เช่น ระหว่างพ่อแม่กับลูก ครูกับศิษย์ เพื่อนกับเพื่อน ฯลฯ ดังที่มีพุทธพจน์กล่าวไว้ในเรื่องของ “ทิศ 6” ก็ย่อมจะเป็นการเสริมสร้างสังคมให้น่าอยู่ ในทำนองเดียวกันหากรู้จักชำระล้างจิตใจให้ลดความเคียดแค้นชิงชัง รวมถึงความอิจฉาริษยา ก็จะทำให้สังคมปลอดภัยน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ในทฤษฎีของชาวตะวันตกมีศึกษาถึงเรื่องของความรักอยู่มากมาย แต่ที่เก่าแก่ที่สุดน่าจะเป็น “ทัศนะเกี่ยวกับความรักของเพลโต” อันเป็นบทสนทนาที่เพลโตเขียนไว้ในงานเขียนเรื่อง Symposium ในตอนหนึ่งที่มีคนนำมาอ้างอิง โดยเรียกว่าเป็น Platonic Love นั้นก็คือ “...เพื่อจะบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวังนี้ มนุษย์ไม่มีเครื่องมือใดอื่นที่ดีกว่าอีกแล้ว นอกจากความรัก ดังนั้น มนุษย์ควรให้เกียรติแก่ความรักและเดินไปบนหนทางของความรัก ชักชวนเพื่อนมนุษย์ให้เดินไปด้วยกัน และยกย่องเชิดชูพลังและวิญญาณของความรัก…ตลอดไป” ในความหมายที่เข้าใจง่ายก็คือ “ความรักที่มุ่งปรารถนาดีต่อมนุษย์ทุกคน”
ความรักแบบเพลโตนี้ยังมีส่งผลถึงศาสนาคริสต์ในยุคต่อมา โดยที่คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่าพระเยซูคือตัวแทนของความรักระหว่างมนุษย์ทุกคน พร้อมกับให้อดกลั้นต่อความเกลียดชัง อย่างที่มีคำสอนว่า “ถ้าใครตบหน้ามา ก็จงหันหน้าอีกข้างให้ตบ” เพราะความเกลียดชังนี้เป็น “1 ใน 7 ของบาปอันชั่วช้า” เป็นเชื้อร้ายที่ซาตานพยายามปลูกฝังเข้าในจิตใจของมนุษย์ ความเกลียดชังทำให้มนุษย์ห่างไกลพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่ความรักจะทำให้มนุษย์ใกล้ชิดพระเจ้า เมื่อตายไปก็จะไปสู่พระผู้เป็นเจ้าภาวะอันเป็นสันตินิรันดร์
สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน นักสังคมวิทยาฝรั่งเคยมาศึกษาถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวคนไทย พบว่าประเทศไทยมีโครงสร้างสังคมแบบ “หลวมๆ” (Loosely Social Structure) ปัจจัยหนึ่งที่เขาใช้ศึกษาก็คือ “ความมั่นคงเข้มแข็งในความสัมพันธ์ระหว่างกัน” ซึ่งคนไทยเป็นคนที่โลเล ตัดสินใจไม่ค่อยเด็ดขาด เปลี่ยนแปลงอารมณ์และความรู้สึกได้ง่ายและรวดเร็ว เป็นต้นว่า รักง่าย หน่ายเร็ว และเป็นคนลืมง่าย ชอบให้อภัย โดยพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” จนเป็นบุคลิกประจำตัว
ได้มีผู้ศึกษาลงไปในรายละเอียดของความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาของคนไทย โดยศึกษาถึงสภาพความเป็นศักดินาที่หล่อหลอมคนไทยมาหลายร้อยปี ก็พบว่าเป็น “ศักดินาแบบยืดหยุ่น” คือ สามารถเปลี่ยนเจ้านายหรือผู้เป็นที่พึ่งได้ เข้าทำนอง “ข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนาย” มีการเลื่อนไหลทางสังคมหรือเปลี่ยนแปรสถานภาพได้ง่าย โดยไม่ถูกกีดกั้นด้วยชนชั้นวรรณะ หรือความแตกต่างจากสภาพพื้นฐานทางครอบครัว จึงส่งผลถึงวัฒนธรรมทางการเมืองที่ทำให้นักการเมืองไทยไม่ค่อยผูกพันกับพรรค แต่จะผูกพันกับตัวบุคคลที่เปลี่ยนพรรคกันได้เสมอตาม “การเกื้อกูล” ที่มีแลกเปลี่ยน พรรคการเมืองไทยจึงมีลักษณะเป็น “ก๊ก-ก๊วน” เกาะกลุ่มกันด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นกลุ่มที่เกาะกันด้วยอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ส่วนรวม
ผู้เขียนเคยจัดสัมมนาประกอบการศึกษาของนักศึกษาปริญญาโทรัฐศาสตร์ ที่ มสธ. ถึงการชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ม็อบเดือน พ.ค. 2535 กับม็อบ 2549-2552 ล่าสุดคือม็อบ 2556-2557 พบว่า “คนไทยไม่ได้เกลียดกันจริงๆ” แต่เป็นความเกลียดชังที่เกิดจากการชักนำของแกนนำของแต่ละฝ่าย ในขณะที่แกนนำเหล่านี้ก็มีประโยชน์ “ซ่อนเร้น” และสามารถเปลี่ยนแปรหรือ “แอบ” แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันอยู่เสมอ ทั้งนี้ มีการพูดถึง “กรณีถั่งเช่า” “กรณีคดีการเมืองไม่มีวันเอาผิดใครได้” “กรณีปฏิรูปตำรวจ” รวมถึงมอตโตทางการเมืองที่กล่าวกันติดปากว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” เหล่านี้แสดงให้เห็นถึง “ความยอกย้อนซ่อนเงื่อน” ของการเมืองไทย จนไม่รู้ว่าใครรักหรือเกลียดกัน “จริงหรือไม่ อย่างไร”
อย่างที่เชื่อว่าประชาชนรัก ก็เอาไว้ดูกันวันทำประชามติ


