posttoday

250 สว.ลากตั้ง ​มือไม้ คสช.​ยุคเปลี่ยนผ่าน ​

25 มีนาคม 2559

สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. กำลัง​ถูกวางบทบาทหน้าที่ให้กลายเป็น “กลไก”

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. กำลัง​ถูกวางบทบาทหน้าที่ให้กลายเป็น “กลไก” สำคัญในการเมืองช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากการเลือกตั้งไปอีก 5 ปีข้างหน้า

ชัดเจนเมื่อ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตัดสินใจปรับเปลี่ยนทั้งจำนวน ที่มา​ และอำนาจของ สว. ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามข้อเสนอที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งมาให้ในช่วงโค้งสุดท้าย

ทุกอย่างดูเชื่อมโยงกับกลไกอื่นๆ อย่างเป็นระบบ ราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดี

เริ่มตั้งแต่จำนวน สว. จากเดิมที่ร่างรัฐธรรมนูญเดิมกำหนดไว้ 200 คน แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สว.ชุดพิเศษนี้จะมีจำนวนทั้งสิ้น 250 คน

นัยสำคัญของจำนวน สว.ที่เพิ่มขึ้นมานั้น สอดรับไปกับอำนาจหน้าที่ที่ กรธ.กำหนดเพิ่มขึ้นมาจากสภาวะปกติ โดยเฉพาะอำนาจปลดล็อกนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ต้องใช้เสียงที่ประชุมร่วม สส.-สว.

คำนวณคร่าวๆ จากสัดส่วน สส. 500 คน หากคำนวณรวมกับ สว.ที่มีจำนวน 200 คนนั้น แม้เสียงของ สว.จะเทน้ำหนักไปทางใดทางหนึ่งก็ยากจะมีผลต่อการชี้ขาดในการลงมติได้ แต่การเพิ่มจำนวน สว.เป็น250 คน หรือครึ่งหนึ่งของ สส.ทั้งหมด จะทำให้เสียงของ สว.มีพลังขึ้นมาทันที

ยิ่งหากเสียงของ สว.มีเอกภาพคิดเห็นไปในทางเดียวกันด้วยแล้ว เสียงของ สว.จะกลายเป็นตัว “ชี้ขาด” ในการลงมติของสองสภาไปโดยปริยาย ​

เมื่อประเมินแล้วระบบเลือกตั้ง สส.แบบสัดส่วนผสมที่ กรธ.ออกแบบมานั้น ยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แถมยังเปิดทางให้พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามา
สภามากขึ้น

สภาพเบี้ยหัวแตกในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะมีเสียงเพียงพอจะกำหนดทิศทางได้ ยิ่งในวันที่พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ยากจะจับมือกัน

เสียงที่จะเป็น “ตัวแปร” กำหนดทิศทางจึงหนีไม่พ้นเสียงของพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก ที่มีแนวโน้มว่าจะเกาะกันเหนียวแน่นเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง และเสียง สว.ที่มีความเป็นเอกภาพสูง

​ปัจจัยที่ทำให้เสียงของ สว.มีเอกภาพเป็นเพราะที่มาจากทั้งหมด 250 คน​ ทั้งหมด​ก็มาจาก คสช.​

ส่วนแรก 200 มาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา 194 คน ส่วนอีก 6 ล็อกไว้สำหรับตำแหน่ง ปลัดกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ​​ส่วนที่สอง 50 คน มาจากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการเลือกจากผู้สมัครในระดับอำเภอ จังหวัด ถึงระดับประเทศ  ให้ผู้มีความเหมาะสมจากกลุ่มต่างๆ ได้จำนวน 200 คน และชี้ขาดสุดท้ายโดย คสช. ​เลือก 50 คน และสำรองอีก 50 คน

แถมฟังเหตุผล กรธ.ที่ให้ คสช.ชี้ขาด 50 คนในส่วนที่สองเพื่อให้ทั้งสองส่วนเป็น​ “ปลาน้ำเดียวกัน” ยิ่งตอกย้ำว่าเอกภาพภายใน 250 สว.จะมีมากน้อยแค่ไหน​

อย่าลืมว่าทุกอย่างล็อกไว้หลายชั้น ทั้ง​คณะกรรมการสรรหาที่ คสช.เป็นคนเลือกด้วยตัวเองแล้ว อีกด้านยังมีการส่ง​บิ๊กเหล่าทัพมานั่งเป็น สว. ที่ถูกมองว่าเข้ามาควบคุมเสียงในสภาสูงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เอกภาพภายในมีสูง

สัญญาณจาก บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อธิบายว่า 6 ตำแหน่งดังกล่าว เพื่อไปพูดคุยและแนะนำชี้แจงพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้อยู่ได้ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 6 คนนั้นจะได้มีการพูดคุยกันทั้ง สว.และ สส. ยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้น

​ความสำคัญของ สว.ชุดเปลี่ยนผ่านอยู่ที่อำนาจการปลดล็อกให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก ตามที่ กรธ.กำหนดว่า หากสภาไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีตามกรอบที่ให้พรรคการเมืองเป็นผู้เสนอ 3 รายชื่อได้ ให้ใช้มติของสองสภาเปิดช่องเลือกคนนอกได้

น่าสนใจตรงที่เดิม กรธ.กำหนดเสียงไว้ที่ 2 ใน 3 จากสองสภา หรือ 500 คน จาก 750 คน ที่ล่าสุดปรับแก้เป็น 3 ใน 5 หรือ 450 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียง

ลำพังเสียง สว. 250 เสียง​ ก็ชี้ขาดได้ระดับหนึ่ง การหาเพิ่มจากเสียง สส.อีก 200 เสียงจึงไม่ใช่เรื่องยาก ​ยิ่งในวันที่ คสช. ยังมีพาวเวอร์

อีกความสำคัญของ สว.ช่วงเปลี่ยนผ่านคือการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่ถือเป็นอีกกลไกสำคัญในการเมืองตามรัฐธรรมนูญใหม่ ถึงจะไม่มีอำนาจถอดถอน แต่อำนาจคัดกรองบุคคลเข้าไปนั่งในองค์กรที่เป็นหนึ่งในกระบวนถอดถอน ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

อีกหน้าที่สำคัญของ สว. คือ การติดตามผลักดันการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะเป็นกรอบควบคุมทิศทางการบริหารงานของรัฐบาลนับจากนี้ไปอีกอย่างน้อยก็ 5 ปี

​ทั้งหมดล้วนแต่ตอกย้ำความสำคัญของ สว.ที่ไม่ต่างจากมือไม้ของ คสช.ในยุคเปลี่ยนผ่าน

ข่าวล่าสุด

กองหลังผลัดกันรั่ว ! แมนยู เสมอเดือด บอร์นมัธ 4-4 ผลบอลพรีเมียร์ลีก