250 สว.ลากตั้ง ​มือไม้ คสช.​ยุคเปลี่ยนผ่าน ​
สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. กำลังถูกวางบทบาทหน้าที่ให้กลายเป็น “กลไก”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. กำลังถูกวางบทบาทหน้าที่ให้กลายเป็น “กลไก” สำคัญในการเมืองช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากการเลือกตั้งไปอีก 5 ปีข้างหน้า
ชัดเจนเมื่อ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตัดสินใจปรับเปลี่ยนทั้งจำนวน ที่มา และอำนาจของ สว. ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามข้อเสนอที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งมาให้ในช่วงโค้งสุดท้าย
ทุกอย่างดูเชื่อมโยงกับกลไกอื่นๆ อย่างเป็นระบบ ราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดี
เริ่มตั้งแต่จำนวน สว. จากเดิมที่ร่างรัฐธรรมนูญเดิมกำหนดไว้ 200 คน แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สว.ชุดพิเศษนี้จะมีจำนวนทั้งสิ้น 250 คน
นัยสำคัญของจำนวน สว.ที่เพิ่มขึ้นมานั้น สอดรับไปกับอำนาจหน้าที่ที่ กรธ.กำหนดเพิ่มขึ้นมาจากสภาวะปกติ โดยเฉพาะอำนาจปลดล็อกนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ต้องใช้เสียงที่ประชุมร่วม สส.-สว.
คำนวณคร่าวๆ จากสัดส่วน สส. 500 คน หากคำนวณรวมกับ สว.ที่มีจำนวน 200 คนนั้น แม้เสียงของ สว.จะเทน้ำหนักไปทางใดทางหนึ่งก็ยากจะมีผลต่อการชี้ขาดในการลงมติได้ แต่การเพิ่มจำนวน สว.เป็น250 คน หรือครึ่งหนึ่งของ สส.ทั้งหมด จะทำให้เสียงของ สว.มีพลังขึ้นมาทันที
ยิ่งหากเสียงของ สว.มีเอกภาพคิดเห็นไปในทางเดียวกันด้วยแล้ว เสียงของ สว.จะกลายเป็นตัว “ชี้ขาด” ในการลงมติของสองสภาไปโดยปริยาย
เมื่อประเมินแล้วระบบเลือกตั้ง สส.แบบสัดส่วนผสมที่ กรธ.ออกแบบมานั้น ยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แถมยังเปิดทางให้พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามา
สภามากขึ้น
สภาพเบี้ยหัวแตกในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะมีเสียงเพียงพอจะกำหนดทิศทางได้ ยิ่งในวันที่พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ยากจะจับมือกัน
เสียงที่จะเป็น “ตัวแปร” กำหนดทิศทางจึงหนีไม่พ้นเสียงของพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก ที่มีแนวโน้มว่าจะเกาะกันเหนียวแน่นเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง และเสียง สว.ที่มีความเป็นเอกภาพสูง
ปัจจัยที่ทำให้เสียงของ สว.มีเอกภาพเป็นเพราะที่มาจากทั้งหมด 250 คน ทั้งหมดก็มาจาก คสช.
ส่วนแรก 200 มาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา 194 คน ส่วนอีก 6 ล็อกไว้สำหรับตำแหน่ง ปลัดกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ส่วนที่สอง 50 คน มาจากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการเลือกจากผู้สมัครในระดับอำเภอ จังหวัด ถึงระดับประเทศ ให้ผู้มีความเหมาะสมจากกลุ่มต่างๆ ได้จำนวน 200 คน และชี้ขาดสุดท้ายโดย คสช. เลือก 50 คน และสำรองอีก 50 คน
แถมฟังเหตุผล กรธ.ที่ให้ คสช.ชี้ขาด 50 คนในส่วนที่สองเพื่อให้ทั้งสองส่วนเป็น “ปลาน้ำเดียวกัน” ยิ่งตอกย้ำว่าเอกภาพภายใน 250 สว.จะมีมากน้อยแค่ไหน
อย่าลืมว่าทุกอย่างล็อกไว้หลายชั้น ทั้งคณะกรรมการสรรหาที่ คสช.เป็นคนเลือกด้วยตัวเองแล้ว อีกด้านยังมีการส่งบิ๊กเหล่าทัพมานั่งเป็น สว. ที่ถูกมองว่าเข้ามาควบคุมเสียงในสภาสูงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เอกภาพภายในมีสูง
สัญญาณจาก บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อธิบายว่า 6 ตำแหน่งดังกล่าว เพื่อไปพูดคุยและแนะนำชี้แจงพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้อยู่ได้ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 6 คนนั้นจะได้มีการพูดคุยกันทั้ง สว.และ สส. ยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ความสำคัญของ สว.ชุดเปลี่ยนผ่านอยู่ที่อำนาจการปลดล็อกให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก ตามที่ กรธ.กำหนดว่า หากสภาไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีตามกรอบที่ให้พรรคการเมืองเป็นผู้เสนอ 3 รายชื่อได้ ให้ใช้มติของสองสภาเปิดช่องเลือกคนนอกได้
น่าสนใจตรงที่เดิม กรธ.กำหนดเสียงไว้ที่ 2 ใน 3 จากสองสภา หรือ 500 คน จาก 750 คน ที่ล่าสุดปรับแก้เป็น 3 ใน 5 หรือ 450 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียง
ลำพังเสียง สว. 250 เสียง ก็ชี้ขาดได้ระดับหนึ่ง การหาเพิ่มจากเสียง สส.อีก 200 เสียงจึงไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งในวันที่ คสช. ยังมีพาวเวอร์
อีกความสำคัญของ สว.ช่วงเปลี่ยนผ่านคือการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่ถือเป็นอีกกลไกสำคัญในการเมืองตามรัฐธรรมนูญใหม่ ถึงจะไม่มีอำนาจถอดถอน แต่อำนาจคัดกรองบุคคลเข้าไปนั่งในองค์กรที่เป็นหนึ่งในกระบวนถอดถอน ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
อีกหน้าที่สำคัญของ สว. คือ การติดตามผลักดันการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะเป็นกรอบควบคุมทิศทางการบริหารงานของรัฐบาลนับจากนี้ไปอีกอย่างน้อยก็ 5 ปี
ทั้งหมดล้วนแต่ตอกย้ำความสำคัญของ สว.ที่ไม่ต่างจากมือไม้ของ คสช.ในยุคเปลี่ยนผ่าน


