posttoday

ถึงเวลาแก้กฎหมาย"เมา-ซิ่งชนคนตาย=เจตนาฆ่า"

21 มีนาคม 2559

ข้อเสนอจากนักกฎหมาย-นักวิชาการด้านความปลอดภัยบนท้องถนนต่อคดี"เบนซ์ชนฟอร์ด"

โดย วรรณโชค ไชยสะอาด

จากกรณีทอล์ก ออกฟ เดอะทาวน์ที่ไฮโซหนุ่มขับรถเบนซ์พุ่งชนท้ายรถฟอร์ด จนเกิดเพลิงลุกไหม้เป็นเหตุให้สองนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เสียชีวิต โดยคลิปวีดีโอเผยเห็นข้อมูลว่า รถเบนซ์แล่นมาด้วยความเร็วสูง ก่อนชนท้ายรถฟอร์ดโดยไม่ได้มีการเบรก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า รถเบนซ์คันดังกล่าวใช้ความเร็วมากกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 
คำถามเกิดขึ้นจากสังคมทันทีว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะพิจารณาเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้ “ความประมาท”ถูกแยกออกมาจาก “เจตนา”

แยกพฤติกรรม "ประมาท" กับ "อันตราย"ออกจากกัน

คดีเบนซ์ชนฟอร์ดล่าสุด ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการรวบรวมหลักฐานประกอบสำนวนคดีที่รัดกุมและทันท่วงทีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งแต่การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์และสารเสพติด การตรวจสภาพและอุปกรณ์ในตัวรถโดยละเอียด เช่น ความเร็วขณะชน ภาพจากกล้องวงจรปิดในตัวรถ หรือกล้องวงจรปิดในเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน ฯลฯ
 
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า หลายเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นบนท้องถนนนั้น ก่อให้เกิดคำถามว่า ทำไมสุดท้ายบทสรุปต้องลงเอยที่ “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย”
 
“คำถามต่อเนื่องที่สำคัญคือ ทำไมอุบัติเหตุทางถนนที่รุนแรงจึงถูกเหมารวมเป็นเพียง "ขับรถโดยประมาท" หากนำเหตุการณ์ล่าสุดมาเป็นกรณีศึกษาจะพบว่า ภาพในคลิปแสดงให้เห็นว่าผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงมากในช่องทางซ้าย ซึ่งเป็นการขับรถที่อันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ในทางสากลการขับขี่รถที่อันตราย เช่นความเร็วสูง ฝ่าสัญญาณไฟ เมาสุรา จะถือว่าเป็นการขับรถอันตราย ไม่ใช่เพียงประมาท เเละถ้าส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จะมีบทลงโทษที่รุนเเรงพอๆกับเจตนาฆ่า
 
นพ.ธนะพงศ์ ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาผู้ขับขี่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นอันตราย เช่น ดื่มหรือเมาขับ ขับฝ่าสัญญาณไฟ จนเกิดกระเเสสังคมเเละเสนอใหมีการเเก้ไขกฎหมาย เพื่อเเยกคำว่า “ประมาท” หรือ “เจตนา” (negligent or crime of intent)

ญี่ปุ่นมองว่า ถ้ายังคงตามกฎหมายเดิม พฤติกรรมเหล่านี้จะถูกระบุว่าเป็นความประมาท มีบทลงโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีปรับไม่เกิน 5 แสนเยน แต่ถ้าชี้ว่าเป็น "ขับรถอันตราย" (Dangerous Driving Resulting in Deaths and Injuries) หรือ crime of intent โทษจะสูงถึง 20 ปีถ้ามีการเสียชีวิต
 
ทั้งนี้กรณีที่ถือว่าเป็นการ "ขับรถอันตราย" ได้เเก่ 1.ขับขี่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความเร็วสูง 2.ขับแซงอย่างน่ากลัว หรือขับรถจี้กดดันคันหน้า 3.การขับขี่ที่ ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์และยา 4.ไม่มีทักษะการขับขี่ 5.ฝ่าสัญญาณไฟแดง
 
“ภายหลังจากประเทศญี่ปุ่นปรับแก้กฎหมายเมื่อ ค.ศ. 2001 พบว่า ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะจากเมาแล้วขับ จากปี ค.ศ. 2001-2010 ลดลงจาก 25,400 ราย เหลือเพียง 5,553 ราย หรือลดลงถึง 78.1% ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากการเมาแล้วขับก็ลดลงจาก 1,191 ราย เหลือเพียง 287 ราย หรือลดลงถึง 75.9%”

ถึงเวลาแก้กฎหมาย"เมา-ซิ่งชนคนตาย=เจตนาฆ่า"

กฎหมายเมาแล้วขับต้องบังคับใช้อย่างจริงจัง
 
ในความรับรู้ของสังคม หากพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ตามกฎหมายถือว่าเมา และหากขับรถขณะมึนเมา แม้จะยังไม่เกิดความเสียหายต่อผู้ใดก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน มีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ปรับสูงสุด 20,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่อย่างน้อย 6 เดือน แต่ถ้าหากเมาสุราแล้วขับรถจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท รวมถึงต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ด้วย
 
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เคยระบุว่า กฎหมายไทยเบามาก เมาแล้วขับยังถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ทั้งที่ปัจจุบันสังคมไทยตื่นตัวกับปัญหาเมาแล้วขับมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
 
"ที่ผ่านมาบ้านเราถ้าเมาแล้วขับรถชนคนตาย ศาลจะตัดสินว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ประมาทในที่นี้หมายถึงไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา เหมือนรถเบรคแตก ฝนตกถนนลื่นควบคุมรถไม่ได้แล้วชนคนตาย กฎหมายไทยลงโทษเบามาก แถมยังไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเต็มที่ เกิดเหตุทีไรก็แค่ปรับเงิน ชดใช้ค่าเสียหาย รอลงอาญา คุมประพฤติ แต่ไม่ต้องติดคุก เพราะถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท คนเลยไม่เข็ดหลาบ ไม่เกรงกลัว แต่ในต่างประเทศ ถ้ากินเหล้าเมาแล้วไปขับรถชนคนตาย จะถือว่าคนพวกนี้เป็นอาชญากร เป็นอาชญากรรมที่กระทำโดยเจตนาจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต เพราะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าการดื่มเหล้าเมาแล้วขับรถมันมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงสมควรที่จะได้รับโทษหนักกว่าการกระทำโดยประมาท"
 
เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เสนอแนะว่า สิ่งที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือ บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เด็ดขาดจริงจัง โดยไม่จำเป็นต้องปรับแก้ หรือเสนอกฎหมายใหม่ด้วยซ้ำ
 
"ต้องใช้ยาแรง เริ่มตั้งแต่ให้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนนโดยไม่มีข้อยกเว้น ลงโทษจำคุกผู้กระทำผิดโดยไม่รอลงอาญา รับรองคนจะเกรงกลัวไม่กล้าคิดดื่มแล้วขับ ถ้าทำตรงนี้ได้จะช่วยลดปัญหาเมาแล้วขับชนคนตายไปโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันสื่อมวลชนหรือองค์กรต่างๆต้องรณรงค์ควบคู่กันไปด้วย เช่น เก็บสถิติผู้กระทำผิดที่ถูกลงโทษทุกจังหวัดทั่วประเทศนำเสนอเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนได้ตระหนัก ทั้งหมดนี้รัฐบาลสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอกฎหมายใหม่ ไม่ต้องเสียงบประมาณเพิ่ม แค่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเด็ดขาดจริงจัง ไม่มียกเว้น ประกาศนำร่องไปเลย 6 เดือน ได้ผลแน่"

ถึงเวลาแก้กฎหมาย"เมา-ซิ่งชนคนตาย=เจตนาฆ่า"


5 ข้อเสนอลดความสูญเสียบนถนน

นพ.ธนะพงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่า ความสูญเสียในเหตุการณ์ล่าสุด นอกจากจะส่งผลให้เกิดกระบวนการดำเนินคดีที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เพื่อเยียวยาครอบครัวหรือญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตทั้งสองเเล้ว สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับคนในสังคมคือ ควรให้มีการยกระดับมาตรฐานกระบวนการยุติธรรม

นพ.ธนะพงศ์ เสนอแนวทาง 5 ข้อดังนี้

1) สำนักงานตำรวจเเห่งชาติต้องกำหนดให้มีระเบียบปฎิบัติพื้นฐาน สำหรับพนักงานสอบสวน ที่จะต้องรวบรวมหลักฐานประกอบการดำเนินคดีอุบัติเหตุจราจรที่รวดเร็ว รัดกุมเเละเป็นมาตราฐานเท่าเทียมกันในทุกคดี โดยเฉพาะ การตรวจวัดระดับระดับแอลกอฮอล์เเละสารเสพติด ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายทันทีในกรณีอุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส การไม่เคลื่อนย้ายเเละเก็บรวบรวมหลักฐานสำคัญ ณ จุดเกิดเหตุอย่างครอบคลุม ฯลฯ 

2) ทบทวนและแก้ไข พรบ.จราจรทางบกฯ โดยกำหนดให้มีการระบุพฤติกรรม "การขับขี่รถที่อันตราย" เเยกออกจาก "ขับรถโดยประมาท" ให้ชัดเจน เช่นเดียวกับสากล พร้อมทั้งมีบทลงโทษที่รุนเเรงกว่า คดีขับรถโดยประมาท เพื่อป้องปรามผู้ขับขี่ที่ยังคงมีพฤตกรรมขับรถอันตราย เพราะนักขับกลุ่มนี้ ประเมินว่าเมื่อเกิดเหตุ บทลงโทษก็เพียงแค่ขับรถประมาท 

3) เร่งพัฒนาระบบข้อมูลประวัติความผิดซ้ำ ทั้งประวัติคดีจราจร และประวัติการถูกจับปรับความผิดจราจรต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินคดี เพิ่มบทลงโทษให้รุนเเรงขึ้นตามลำดับขั้น เพราะพฤติกรรมเสี่ยงในการขับรถโดยประมาทมักจะพบว่าไม่ใช่การกระทำความผิดครั้งเเรก

4) เพิ่มมาตรการตรวจขับผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมขับรถอันตรายบนท้องถนน ให้สามารถป้องปรามผู้กระทำความผิด  เช่น กรณีขับรถเร็วอันตราย ถ้ามีด่านตรวจจับความเร็ว ก็ต้องช่วยสกัด

5) ส่งเสริมให้เกิดบรรทัดฐานองคก์รและสังคม (Norm) ที่จะไม่ยอมให้มีพฤติกรรมขับรถที่อันตราย เเละส่งเสริมให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ช่วยเฝ้าระวังเเละเเจ้งเหตุผ่านช่องทางต่างๆ เมื่อพบผู้ขับขี่อันตรายบนถนน หรือหน่วยงานองค์กรที่มีบุคลากรกระทำความผิดจากการขับขี่อันตราย ก็ควรจะมีมาตราการองค์กร เช่น บทลงโทษเสริมอีกทางหนึ่ง เช่น กรณีเมาเเล้วขับที่ญี่ปุ่น องค์กรต้นสังกัดจะมีบทลงโทษถึงให้ออกจากงาน

"ถ้าอยากให้ความสูญเสียหมดไปจากท้องถนน สังคมต้องช่วยกันผลักดันกฎหมายเเละการบังคับใช้กฎหมายที่ได้มาตรฐานเเละเป็นธรรม ควบคู่ไปกับการสร้างบรรทัดฐานของสังคมที่จะไม่ยอมให้มีผู้ขับขี่ที่อันตรายมาอยู่บนท้องถนนแ ละสร้างความสูญเสียให้กับใครๆในสังคมของเรา" 

การใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ขณะเดียวกันยังสามารถยืนยันความเที่ยงตรงของกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย 

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด ตะกร้อทีมชุดชาย ไทย พบ มาเลเซีย วันนี้ 14 ธ.ค.68