posttoday

"รุมประชาทัณฑ์"...เมื่อกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

26 มกราคม 2559

วิเคราะห์พฤติกรรม ศาลเตี้ย-รุมประชาทัณฑ์ และการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของตำรวจ

โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด

คล้อยหลังเหตุการณ์ชายหนุ่มขี้เมาจอดรถกีดขวางการจราจร พลางตะโกนโหวกเหวกโวยวาย และไล่เตะรถยนต์คันอื่น หนำซ้ำยังทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาระงับเหตุ

งานนี้ปิดฉากลงด้วยการที่บรรดาไทยมุงทั้งหลายพร้อมใจกัน "สามัคคีบาทา" ผู้ก่อเหตุ จนกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์สนั่นเมือง

คำถามที่เกิดขึ้นท่ามกลางความสะใจคือ การใช้วิธี "ศาลเตี้ย-รุมประชาทัณฑ์" ผิดกฎหมายหรือไม่?

ปฐมเหตุความคับแค้น

จุดเริ่มต้นที่มาที่ไปของการรุมประชาทัณฑ์นั้นนับว่าน่าสนใจ 

ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล ประธานหลักสูตรอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า โดยทั่วไปมนุษย์นั้นต้องการความสงบอยู่แล้ว แต่หากถูกกระตุ้นด้วยการท้าทาย ทำให้โกรธแค้นไม่พอใจ อาจนำไปสู่สภาวะไม่สามารถควบคุมอารมณ์และแสดงออกด้วยท่าทีลักษณะรุนแรงได้

“เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เมื่อถูกท้าทาย ทุกคนจะเริ่มมีอารมณ์ แต่การแสดงออกในรูปความรุนแรงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีชนวน ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายเสื้อขาวขี้เมาคนนั้น หลังจากอาละวาดบนท้องถนนอยู่พักใหญ่ หลายคนในบริเวณนั้นต่างถูกกระตุ้นด้วยการท้าทาย ถูกสร้างอารมณ์ร่วมหมู่ ทุกคนพยายามควบคุมอารมณ์และเฝ้าดูสถานการณ์ จนกระทั่งชายเสื้อขาวจุดชนวนสำคัญขึ้นด้วยการชกเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นเป็นตัวชี้ขาดที่ทำให้อารมณ์ร่วมแห่งความไม่พอใจและหมั่นไส้ในตัวของทุกคนเผยออกมา ขณะที่มีหลายคนเข้าผสมโรงด้วย”

เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ต่างจากการรุมประชาทัณฑ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพทุกครั้งที่มักมีที่มาจากความโกรธแค้นผู้ต้องหา เมื่อมีโอกาสเจอต้นเหตุแห่งความโกรธแค้น ประกอบกับมีตัวจุดชนวน นั่นคือ มีคนเปิดฉากทำร้าย ก็เลยกลายเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้เกิดการรุมประชาทัณฑ์ ด้วยรากฐานจากความไม่พอใจที่พร้อมจะแสดงออกมาอยู่แล้ว

“ประเทศส่วนใหญ่ เมื่อผู้ต้องหาอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มักไม่เกิดการรุมประชาทัณฑ์ขึ้น เนื่องจากพลเมืองของเขาเข้าใจว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันยังมีความอ่อนไหวต่อการถูกฟ้องร้องกลับ ซึ่งมีโทษรุนแรง ทั้งนี้การแสดงออกของประชาชนแต่ละประเทศยังขึ้นอยู่กับนิสัยและวัฒนธรรม คนไทยเรามักอยากรู้อยากเห็น มีปฎิกิริยาการแสดงออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างกับผู้คนในประเทศอื่น”

อย่างไรก็ตาม นักอาชญวิทยารายนี้ บอกว่า เรื่องที่น้อยคนนักจะรู้คือ กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำแผนประกอบคำรับสารภาพ  นั่นหมายความว่า ผู้ต้องหา ญาติพี่น้อง หรือทนายความ สามารถปฎิเสธที่จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพได้

"รุมประชาทัณฑ์"...เมื่อกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา

เป็นที่รับรู้กันว่า ในระบบยุติธรรม ผู้พิพากษามีหน้าที่อันชอบธรรมตามกฎหมายในการตัดสินคดีความ ดังนั้นประชาชนอย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษาเสียเอง ด้วยการนำกฎหมู่มาใช้แทนกฎหมาย

พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า รุมประชาทัณฑ์หมายถึงการทำร้ายร่างกาย เป็นอากัปกิริยาของคนจำนวนหนึ่งที่ทำกับอีกบุคคลหนึ่ง หลังจากมีความเห็นว่าบุคคลนั้นทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผิดหรือขัดความรู้สึกของเขา ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ประชาชนไม่ควรทำ เนื่องจากทุกคนควรเคารพและอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยหรือผู้พิพากษาเสียเอง

“เราทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ควรทำตัวเป็นผู้พิพากษา ภาษาโบราณเขาเรียกว่า 'ให้เป็นไปตามกบิลเมือง' หรือตัวบทกฎหมาย การตัดสินใจลงมือด้วยตัวเองและทำร้ายร่างกายผู้ที่เราเห็นว่าผิดอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในภายหลังได้ หากถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ทางที่ดีปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า อย่างกรณีชายหนุ่มเสื้อขาวที่เมาสุราแล้วไปแสดงพฤติกรรมเกะกะระรานคนอื่น ท้ายที่สุดก็โดนไปหลายข้อหา สาสมแล้วกับที่สิ่งที่เขาทำลงไป

สำหรับประชาชน เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่อาจถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ขอให้มีสติ ระมัดระวังตัวเอง แต่หากถูกทำร้ายก่อน กฎหมายได้ออกแบบไว้ค่อนข้างรอบคอบ ไม่ใช่ว่าเราจะรอโดนอย่างเดียว สามารถยกมือป้องกันร่างกายหรือสวนกลับ เพื่อยับยั้งไม่ให้เขาทำร้ายเราได้ หรือเรียกว่าป้องกันตนได้สมควรแก่เหตุ สู้ได้ในระดับป้องกันและยับยั้ง” 

"รุมประชาทัณฑ์"...เมื่อกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

ป้องกันตัวไม่ถือว่าผิดกฎหมาย

วิรัช หวังปิติพาณิชย์ ทนายความ (tanaiwirat.com) ให้ความเห็นว่า การรุมประชาทัณฑ์ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีที่ไทยมุงเข้า"รุมตื้บ"หนุ่มเสื้อขาว อาจเข้าข่ายป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68  

“หลังจากชายเสื้อขาวตรงเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประชาชนจึงช่วยกันรุมประชาทัณฑ์เพื่อไม่ให้ทำร้ายตำรวจได้ ในทางกฎหมายอาจมองเป็นการป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ได้ เพราะเจตนาการรุมทำร้ายก็เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการทำร้าย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งการกระทำเพื่อการป้องกันให้ชายคนดังกล่าวหยุดการกระทำนั้นไม่ผิด แต่ถ้าเป็นการกระทำเกินเลยกว่าเหตุ มีเจตนาทำร้าย อาจต้องรับผิด ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น”

วิรัช บอกว่า ประมวลกฏหมายอาญานั้นได้วางหลักชัดเจนในฐานความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ดังนี้

มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสิบปีอันตรายสาหัสที่ว่านั้น คือ

(1) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท

(2) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์

(3) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด

(4) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว

(5) แท้งลูก

(6) จิตพิการอย่างติดตัว

(7) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต

(8) ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ยี่สิบวัน หรือจนประกอบ

ทั้งหมดที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นว่า การรุมประชาทัณฑ์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แนวทางที่ถูกต้องคือประชาชนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ยับยั้งอารมณ์ และโต้ตอบเหตุการณ์เฉพาะหน้าในระดับที่สมควรแก่เหตุ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือสติ ปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย.

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท