posttoday

ญาณในวิสุทธิมรรค

13 ธันวาคม 2558

ตอนที่แล้วจบที่ญาณในวิปัสสนาที่มีในวิสุทธิมรรค และต่อมารวมเป็นชุดใหม่เรียกว่า ญาณ 16 หรือโสฬสญาณ

โดย...90 ปี พระธรรมมังคลาจารย์

ตอนที่แล้วจบที่ญาณในวิปัสสนาที่มีในวิสุทธิมรรค และต่อมารวมเป็นชุดใหม่เรียกว่า ญาณ 16 หรือโสฬสญาณ อันเป็นที่รู้จักดีในการใช้ตรวจสอบลำดับญาณ โดยมรรคญาณและผลญาณเท่านั้นเป็นญาณในขั้นโลกุตตระ ส่วนอีก 14 ญาณที่เหลือเป็นขั้นโลกิยะ ตอนต่อจากคราวที่แล้วมีดังต่อไปนี้

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) สรุปเรื่องญาณในวิสุทธิมรรคไว้แล้วในพุทธธรรม (2541:360-362) โดยประกอบด้วย 3 ระดับใหญ่ แบ่งเป็น 7 ญาณ ดังนี้

1.ระดับศีล (อธิศีลสิกขา) สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล คือ ประพฤติดี เลี้ยงชีวิตถูกต้อง มีศีลบริสุทธิ์ตามภูมิขั้นของตน

2.ระดับสมาธิ (อธิจิตตสิกขา) จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต คือ ฝึกอบรมจิตหรือพัฒนาคุณภาพและสมรรถภาพของจิต จนเกิดเป็นสมาธิพอเป็นบาทหรือปทัฏฐานแห่งวิปัสสนา

3.ระดับปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

3.1 ขั้นญาตปริญญา คือ รู้จักสภาวะ

3.1.1 ขั้นทุกขววัฏฐาน คือ กำหนดทุกขสัจจ์

 ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ คือ ความรู้ความเข้าใจมองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริง ทำให้ระงับความเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลเสียได้ เริ่มดำรงในภูมิแห่งความไม่หลงผิด บางทีกำหนดเรียกเป็นญาณอย่างหนึ่ง มีชื่อว่า “นามรูปปริจเฉทญาณ” (ญาณ 1) “สังขารปริจเฉท” ก็เรียก “นามรูปววัฏฐาน” ก็เรียก หมายถึงความรู้จักรูปธรรมนามธรรมว่าสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ พอนับได้ว่าเป็นของจริงก็มีแต่รูปธรรมและนามธรรมเท่านั้น และกำหนดได้ว่าในการรับรู้และเคลื่อนไหวต่างๆ ของตนนั้น อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม เช่น เมื่อเห็นรูปจักขุประสาท แสง และรูป หรือสี เป็นรูปธรรม จักขุวิญญาณ หรือการเห็น เป็นนามธรรม ดังนี้เป็นต้น

 3.1.2 ขั้นสมุทัยววัฏฐาน คือ กำหนดสมุทัยสัจจ์

กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเหตุข้ามพ้นความสงสัย หรือความบริสุทธิ์ ขั้นที่ทำให้กำจัดความสงสัยได้ คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูป ตามแนวปฏิจจสมุปบาทก็ตาม ตามแนวกฎแห่งกรรมก็ตาม ตามแนวกระบวนการรับรู้ก็ตาม ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ตาม หรือตามแนวอื่นก็ตาม ว่านามธรรมและรูปธรรมล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย และเป็นปัจจัยแก่กันและกันอาศัยกัน อันเป็นความรู้ที่ทำให้สิ้นความสงสัยเกี่ยวกับกาลทั้ง 3 คือ อดีต อนาคต และปัจจุบัน ความรู้นี้กำหนดเป็นญาณขั้นที่หนึ่ง บางทีเรียกว่า “นามรูปปัจจยปริคคหญาณ” (ญาณ 2) “ธัมมัฏฐิติญาณ” ก็เรียก “ยถาภูตญาณ” ก็เรียก “สัมมาทัสสนะ” ก็เรียก แปลว่า ญาณที่กำหนดปัจจัยของนามรูป ผู้ประกอบด้วยญาณขั้นนี้ พระอรรถกถาจารย์ เรียกว่าเป็น จูฬโสดาบัน คือ พระโสดาบันน้อย เป็นผู้มีคติ คือ ทางไปก้าวหน้าที่แน่นอนในพระพุทธศาสนา

3.2 ขั้นตีรณปริญญา คือ รู้สามัญลักษณะ หรือหยั่งถึงไตรลักษณ์ คือ

3.2.1 ขั้นมัคคววัฏฐาน คือ กำหนดมรรคสัจจ์

 มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง คือ ยกเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นมาพิจารณาเป็นหมวดๆ ตามแนวไตรลักษณ์ ทีละอย่างๆ เช่น พิจารณารูปโดยอนิจจลักษณะ โดยทุกขลักษณะ โดยอนัตตลักษณะ แล้วพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามลำดับ และโดยลักษณะแต่ละลักษณะไปทีละอย่าง แล้วพิจารณาข้อธรรมอื่นๆ เช่น ในหมวดอายตนะ 12 ปฏิจจสมุปบาท 12 เป็นต้น

ญาณที่พิจารณาหรือตรวจตรารูปนามตามแนวไตรลักษณ์ เรียกว่า “สัมมสนญาณ” (ญาณ 3) จนเริ่มมองเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เรียกว่า เกิดเป็น ตรุณวิปัสสนา คือ วิปัสสนาอ่อนๆ ผู้ได้ตรุณวิปัสสนานี้ เรียกว่า “อารัทธวิปัสสก” คือ ผู้เริ่มเห็นแจ้งหรือผู้ได้เริ่มวิปัสสนาแล้ว

ช่วงนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “วิปัสสนูปกิเลส 10 ประการ” ขึ้น ชวนให้หลงผิดว่า บรรลุมรรคผลแล้ว หรือหลงยึดเอาวิปัสสนูปกิเลสนั้นว่าเป็นทางที่ถูก ใช้สติสัมปชัญญะแก้ไขได้ แล้วกำหนดวิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทางพ้นจากอุปกิเลสแล้วว่า นั่นแหละเป็นทางหรือมรรคแท้จริง เมื่อเกิดความรู้นี้แล้ว เรียกว่าเป็น “มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ”

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025